บีโอไอ ชี้เทรนด์ลงทุน BCG มาแรง เผยสถิติกว่า 6 ปี ขอรับส่งเสริมเกือบ 7 แสนล้าน
บีโอไอเผยโมเดล BCG เป็นแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด สอดรับกับแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ ผลักดันการต่อยอดทรัพยากรที่มีอยู่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ด้วยสภาพการณ์การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และการที่ประเทศไทยต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ รัฐบาลจึงได้กำหนดให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ
ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องการต่อยอดจุดแข็งของไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยแนวทางพัฒนานี้ยังถูกจัดอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันมาตรการส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมกิจการจำนวนมากตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง และบีโอไอได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามแนวทาง BCG ในหลายด้าน เช่น
มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการด้านการยกระดับไปสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล เช่น มาตรฐานการรับรองป่าไม้ตามแนวทางขององค์การพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council: FSC) เป็นต้น
มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ำ เป็นต้น
ปรับปรุงประเภทกิจการและสิทธิประโยชน์โดยให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม คือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและโรงแยกก๊าซ ในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี และกิจการห้องเย็น หรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น หากใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี
จากสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการในกลุ่ม BCG ตั้งแต่ ปี 2558 – กันยายน 2564 มีจำนวน 2,829 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 677,157 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกกิจการ BCG ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่
1. กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่เป็นพลังงานหมุนเวียน (รวมถึงไฟฟ้าจากขยะ) 289,007 ล้านบาท 2. กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร เครื่องดื่ม วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) หรือสิ่งปรุงอาหาร (Food Ingredient) โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย 94,226 ล้านบาท
3. กิจการผลิตเคมีภัณฑ์หรือพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นรูปต่อเนื่องจากการผลิตพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในโครงการเดียวกัน 40,998 ล้านบาท 4. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร 25,838 ล้านบาท 5. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ 22,250 ล้านบาท
โดยเฉพาะในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค. - ก.ย.) มีสัญญาณบ่งชี้อัตราเติบโตที่ดี โดยมีกิจการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 564 โครงการ จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74 และมีมูลค่าลงทุน 128,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 160 และสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในปี 2563 ทั้งปี (93,883 ล้านบาท)
“โมเดลเศรษฐกิจ BCG จะเป็นแนวทางในการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยการใช้จุดแข็งที่ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยการสร้างความสมดุลจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจตามโมเดล BCG ของไทย จะนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์ และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs และคาดว่าในอีก 5 ข้างหน้าอุตสาหกรรม BCG ของไทยจะมีมูลค่าร้อยละ 25 ของ GDP ซึ่งบีโอไอพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่จะนำเป้าหมายดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” เลขาธิการบีโอไอ กล่าว
นอกจากนี้ บีโอไอมีแผนจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจการในกลุ่ม BCG ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ บีโอไอร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) สำนักงานสภานโยบาย
การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และหน่วยงานพันธมิตร เตรียมจัด “มหกรรม BCG Startup Investment Day” ในช่วงต้นปี 2565 เพื่อสนับสนุนให้ Startup ที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมาตรการสนับสนุนต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ Startup ให้แข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ด้วย