PTT ผนึกพันธมิตรกับ Foxconn เพื่อพัฒนา EV ในประเทศไทย
PTT ผนึกพันธมิตรกับ Foxconn เพื่อตั้ง joint venture (JV) ในสัดส่วน 60%/40% เพื่อสร้างโรงงานผลิต EV ในประเทศไทย โดยผู้บริหารคาดว่าโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 700-1,000 ล้านดอลลาร์ฯ
สำหรับโรงงานผลิต EV ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเริ่มแรก 50,000 คัน/ปี และคาดว่าจะเริ่มขายได้ในช่วงปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100,000-150,000 คัน/ปี ภายในปี 2573 ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ EV ใน ASEAN ในขณะเดียวกันบริษัทคาดว่า internal rate of return (IRR) ของโครงการนี้จะอยู่ที่ประมาณ 8-9% และ payback period จะอยู่ที่ประมาณ 8 ปี ทั้งนี้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Foxconn ได้เปิดตัว EV ใหม่สามรุ่น ได้แก่ SUV, Sedan และ E-bus
คาดว่าผลผลิตจากโครงการเอราวัณจะตํ่ากว่าที่ตกลงไว้ใน PSC เป็นเวลา 24 เดือน
ผู้บริหาร PTT บอกว่าความล่าช้าในการเข้าพื้นที่ของโครงการเอราวัณจะทำให้ผลผลิตก๊าซต่ำกว่าระดับที่ตกลงไว้เป็นเวลา 24 เดือนนับตั้งแต่เริ่มสัญญาส่วนแบ่งผลผลิต (production sharing contract หรือ PSC) ฉบับใหม่ในเดือนเมษายน 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะสามารถผลิตก๊าซจากโครงการเอราวัณได้ประมาณ 300mmscfd หลังจากที่ Chevron ออกจากโครงการในเดือนเมษายน 2564 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะที่ผลผลิตขั้นต่ำตาม PSC ของโครงการเอราวัณอยู่ที่ 800mmscfd ดังนั้นส่วนที่ยังขาดจะอยู่ประมาณ 500mmscfd โดยส่วนหนึ่งจะถูกชดเชยโดยอุปทานก๊าซ 250mmscfd จากการเพิ่มการผลิตจากแหล่งก๊าซในอ่าวไทย (ได้แก่ โครงการบงกช, อาทิตย์ และ JDA) และโดยการนำเข้า LNG อีก 250mmscfd (เทียบเท่ากับ 7.9MTA) ทำให้ PTT มีแผนจะนำเข้า LNG จาก i) สัญญาซื้อ LNG ระยะยาว 5.2MTA (ราคาต่ำกว่าราคาในตลาด spot) และ ii) การซื้อ LNG ในตลาด spot 2.7MTA โดยจะจัดหา
ผ่านธุรกิจ trading ของ PTT
จะได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากความล่าช้าในการเข้าพื้นที่โครงการเอราวัณ
ลูกค้าที่ซื้อก๊าซทุกรายจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนก๊าซที่แพงขึ้นจากการที่มีสัดส่วนของ LNG ที่ซื้อจากตลาด spot เพิ่มขึ้นในปี 2565 เพื่อชดเชยผลผลิตส่วนที่ขาดไปจากแหล่งก๊าซเอราวัณในปีหน้านอกจากนี้ อัตราการผลิตของโรงแยกก๊าซ (GSP) จะได้รับผลกระทบบางส่วนด้วย ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงต่ำกว่า 90% ในปี 2565 จาก 90-92% ในปี 2564 ในขณะเดียวกันลูกค้าของ GSP จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะมีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนไปใช้ naphtha เป็น feedstock แทนได้ ในขณะที่เรายังเห็นความเสี่ยง downside ไม่เกิน 5% จากสมมติฐานปัจจุบันของเราเกี่ยวกับปริมาณการขายของ PTT Exploration and Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* ในปี 2565
Valuation & action
เรายังคงคำแนะนำซื้อ PTT และคงราคาเป้าหมาย SOTP ปี 2565 ไว้ที่ 55.00 บาท นอกจากนี้ เรายังคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะน่าสนใจอยู่ที่ 6.0% ในปีนี้ และ 6.2% ในปีหน้า
Risks
ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ, GRM และ spread ปิโตรเคมี