‘อาร์เอส’ท้ารบ! ลุยตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง
หากเอ่ยชื่อ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ของ “เฮียฮ้อ” สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หลายคนคงนึกถึงค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่อยู่คู่กับคนไทยมาแล้ว 40 ปี สร้างนักร้อง ศิลปิน ดาราดังมากมาย
ซึ่งตลอด 40 ปีที่ผ่านมา RS ผ่านร้อนผ่านหนาวนับครั้งไม่ถ้วน ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย
โดยจะเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจบันเทิงซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด หลายบริษัทไปต่อไม่ไหวต้องยอมปิดกิจการ ส่วนที่ไปต่อต้องยกเครื่องการทำธุรกิจขนานใหญ่ โดย RS เป็นหนึ่งในบริษัทที่ไหวตัวทัน หลังเริ่มเห็นสัญญาณขาลงของธุรกิจบันเทิง จึงมองหาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
เริ่มต้นจากการเปิดตัวธุรกิจสุขภาพและความงามภายใต้บริษัท “ไลฟ์สตาร์” อาศัยจุดแข็งด้วยการทำการตลาดผ่านสื่อที่มีอยู่ในมือมากมาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งขนทัพศิลปินในสังกัดมาเป็นพรีเซ็นเตอร์จนประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) ค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น และกลายเป็นรายได้หลักในที่สุด
ทำให้บริษัทตัดสินใจย้ายหมวดธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจาก “หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์” เป็น “หมวดพาณิชย์” เมื่อปี 2562 พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโมเดล Entertainmerce นำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทุกกลุ่มธุรกิจ
ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของ RS แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ โดยในปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการรวมทั้งหมด 3,774.2 ล้านบาท แบ่งเป็น
- ธุรกิจพาณิชย์ 2,381.8 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.1%
- ธุรกิจสื่อ 1,148.2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30.4%
- ธุรกิจเพลงและอื่นๆ 244.2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.5%
สำหรับธุรกิจพาณิยชน์บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มรายได้และเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่างผลิตภัณฑ์กัญชงรับกระแสสายเขียว ประเดิมด้วยอาหารเสริมสกัดน้ำมันเมล็ดกัญชง ซึ่งในปี 2565 วางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชงอีก 7 SKUs
และธุรกิจล่าสุด “อาหารสัตว์เลี้ยง” ภายใต้แบรนด์ “ไลฟ์เมต” (Lifemate) เจาะกลุ่มทาสหมาทาสแมวสายเปย์ ซึ่งไอเดียของธุรกิจใหม่มาจากตัว “เฮียฮ้อ” เองที่ได้เริ่มเลี้ยงน้องหมา ทำให้เข้าใจพฤติกรรมคนรักสัตว์ที่พร้อมทุ่มเททั้งความรัก ความเอาใจใส่ อาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ให้กับสัตว์เลี้ยง เพราะถือเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว
ขณะเดียวมองว่าตลาดสัตว์เลี้ยงยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะปัจจุบันหลายคนเลือกที่จะอยู่เป็นโสด หรือแต่งงานแต่ไม่อยากมีลูก นิยมหาสัตว์มาเลี้ยง ส่งผลให้ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสัตว์เลี้ยงเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 10%
โดยในปี 2563 มีมูลค่าตลาดรวม 3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจากธุริจอาหารสัตวเลี้ยง 1.76 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ส่วนกลุ่มการให้บริการสัตว์เลี้ยง เช่น คลินิก โรงพยาบาล สถานบริการรับฝากเลี้ยง โรงแรม ที่พัก ฯลฯ และกลุ่มสินค้าและอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยง มีมูลค่ารวมกัน 21,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงจะแข่งขันกันรุนแรง มีแบรนด์ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เลือกมากมาย แต่ “เฮียฮ้อ” บอกไม่หวั่น ชูจุดเด่นเรื่องคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล มีสารอาหารที่ครบถ้วน ในราคาที่จับต้องได้
เน้นฐานลูกค้า “กลุ่มสแตนดาร์ด” ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ราว 30% โดยหวังให้ลูกค้า “กลุ่มแมส” ที่มีสัดส่วน 60% ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดแต่ได้สินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น ขณะเดียวกันหวังชิงลูกค้า “กลุ่มพรีเมียม” ให้เปลี่ยนมาซื้อสินค้าของบริษัท โดยตั้งเป้ายอดขายปีแรก 2565 ไว้ 320 ล้านบาท ด้วยมาร์เก็ตแชร์ราว 10%
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า มีมุมมอง Slightly Positive ต่อการเปิดตัวธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัท โดยจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายของธุรกิจ Commerce ซึ่ง RS มีจุดเด่นในการแข่งขันด้วยกลยุทธ์การตลาดที่มีสื่อเข้าถึงผู้บริโภคหลากหลายช่องทาง โดยฝ่ายวิจัยมองว่าผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแข่งขันกันที่กลยุทธ์การตลาดเป็นหลัก จึงมองว่าในระยะสั้นการขยายสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นกิมมิคของธุรกิจ Commerce
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดยอดขายธุรกิจ Commerce จะเติบโต 34% จากปีก่อน เป็น 3.2 พันล้านบาท ภายใต้สมมติฐานยอดขายผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่เติบโต 5% และมียอดขายจากผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชงและกัญชาอีก 700 ล้านบาท
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัวเด่น 158% เป็น 680 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานรายได้รวมเติบโต 26% เป็น 4.8 พันล้านบาท จากการฟื้นตัวของธุรกิจ Media และ Entertainment เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และการเติบโตของธุรกิจ Commerce