สุพัฒนพงษ์สร้างเชื่อมั่นนักธุรกิจญี่ปุ่น ศก.ไทยเดินหน้าต่อหลังโควิด

สุพัฒนพงษ์สร้างเชื่อมั่นนักธุรกิจญี่ปุ่น ศก.ไทยเดินหน้าต่อหลังโควิด

สมาคมไทย-ญี่ปุ่น ผนึกสิกรไทย และสภาหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “Thailand Post COVID-19: Rain or Sunshine?” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจไทยและญี่ปุ่นว่า ประเทศไทยพร้อมมีแนวนโยบายที่ชัดเจนในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานโดยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า “เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 3 และกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว ในช่วงหลังโควิด ภูมิทัศน์ของเศรษฐกิจไทยหลังโควิดจะเปลี่ยนไปและเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ ดังนั้น เราต้องเสริมสร้างอุตสาหกรรมหลักของไทยให้แข็งแกร่ง เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจ health care อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลอดจนปรับตัวให้สอดรับกับกระแส Climate Change” 

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การมุ่งสู่ ESG ของไทย” โดยเน้นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนว่า “มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐ เอกชน และสังคมต้องร่วมมือกัน ผ่านทาง Public Private Partnership (PPP) ในการสร้างกลไกตลาดคาร์บอน และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในประเด็น Climate Change จากนี้ไป ยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก เช่น การมุ่งสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ แต่ต้องเร่งปรับตัวให้สอดรับกับกระแส Climate Change”

นอกจากนี้ ในการพัฒนาที่ยั่งยืน ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับอุตสาหกรรมสู่การสร้างห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) และการปลูกป่าทดแทน เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายที่ net zero ที่ไทยได้ให้ไว้กับประชาคมโลก

นายคาซูยะ นาชิดะ (Mr. Kazuya Nashida)อกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย มีความเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นในอนาคตว่าจะก้าวสู่ “การสร้างสรรค์ร่วมกัน (a partnership of co-creation)” โดยไทยและญี่ปุ่นจะสร้างสรรค์คุณค่าใหม่และนวัตกรรมร่วมกัน และความสัมพันธ์อันดีที่มีมายาวนานจะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม เพื่อแบ่งปันภูมิปัญญาร่วมกัน และส่งเสริมซึ่งกันและกันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต

สุพัฒนพงษ์สร้างเชื่อมั่นนักธุรกิจญี่ปุ่น ศก.ไทยเดินหน้าต่อหลังโควิด

 

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางของนโยบายภาครัฐ” ถึงแม้ว่ารัฐบาลต้องใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อบรรเทาผลกระทบของโควิด ซึ่งปัจจุบันสถานะการคลังของไทยยังแข็งแกร่ง ภาครัฐมีสภาพคล่องมากพอที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากนี้ ในส่วนของความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะที่มีการขยายเพดานเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 70% ของ GDP รัฐบาลมุ่งเน้นความสามารถในการชำระหนี้

โดยการดูแลให้รายได้ภาครัฐกับภาระดอกเบี้ยมีความสอดคล้องกัน นอกจากนี้ในส่วนของประเด็น climate change รัฐบาลมีแผนสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งจะเป็นส่วนช่วยแก้ปัญหาการปล่อยมลพิษรวมถึงฝุ่น PM2.5

ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ได้กล่าวถึงแผนการปฏิรูปโครงสร้างประเทศที่คำนึงถึงประเด็นเชิงโครงสร้างทั้งการขาดแคลนแรงงาน การศึกษา สังคมผู้สูงอายุ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐาน  ส่วนนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงการมุ่งเน้นให้สิทธิประโยชน์การลงทุนเพื่อให้ห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมของไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมถึงการยกระดับมูลค่าห่วงโซ่การผลิต ตลอดจนอำนวยความสะดวกให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศมากขึ้น

สุพัฒนพงษ์สร้างเชื่อมั่นนักธุรกิจญี่ปุ่น ศก.ไทยเดินหน้าต่อหลังโควิด
 

ในส่วนของเสวนาในหัวข้อ “การปฏิรูปกฎระเบียบภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ” การพัฒนาระบบราชการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับ digital transformation โดยการปรับกระบวนงานและจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ

 

 ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและดำเนินธุรกิจ ยังกล่าวเสริมว่า เพื่อที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รัฐบาลวางแผนจะผ่อนคลายกฎระเบียบภาครัฐเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve Industries) เช่น กฎระเบียบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในการขอวีซ่าและใบอนุญาตทำงานเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ โดยหลักการในการปฏิรูปกฎหมายมี 3 ประการด้วยกัน คือ ความถูกต้อง ความจำเป็น และการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ

 

ในช่วงสุดท้าย นายกลินท์ สารสิน นายกสมาคมไทย-ญี่ปุ่น และประธานอาวุโส สภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย ได้กล่าวสรุปว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากโควิด ท่ามกลางประเด็นท้าทายหลายหลายที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญ ภาครัฐและเอกชนมีความร่วมมือที่จะสร้างสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุนที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงหลังจากโควิด

ทั้งนี้ ประเด็นต่างๆ ที่ได้ถูกหยิบยกมากล่าวในงานสัมมนานี้คาดว่าจะเป็นประโยชน์และช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต