WDCผุดโชว์รูมกระเบื้องบางนา-ขอนแก่นขยายฐานลูกค้า

WDCผุดโชว์รูมกระเบื้องบางนา-ขอนแก่นขยายฐานลูกค้า

WDC ทุ่มงบ 16 ล้านผุด 2 โชว์รูม บางนาขอนแก่นหวังขยายฐานลูกค้าใหม่ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมกระเบื้องเพื่อความปลอดภัย และ วัสดุทดแทนหินอ่อนธรรมชาติ คาดปีหน้ายอดขาย 800 ล้านบาท

นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ WDC เผยว่า จากการเติบโตของตลาดวัสดุตกแต่งพื้น-ผนังในประเทศไทยที่ขยายตัวมูลค่า30,000 ล้านบาทในกลุ่มกระเบื้องช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างอย่างมาก ด้วยโมเดล ที่แตกต่างโดยโฟกัสกระเบื้องและวัสดุตกแต่งพื้น-ผนังทั้งในแง่นวัตกรรมผลิต,งานออกแบบเฉพาะที่ตอบโจทย์ และ ความคุ้มค่าที่ใส่ใจต่อการลงทุนของลูกค้า

"WDC มีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 5% จากโพสิชั่นลูกค้ากลุ่มกลาง-บน ในช่วงปี 62 บริษัทมียอด 700 ล้านบาท ก่อนชะลอตัวลง 10-15% ในช่วงปีต่อมาจากวิกฤตโควิดจึงเริ่มสานต่อแผนงานส่วนพัฒนาสินค้าเรื่องนวัตกรรม ดีไซน์ ประกอบกับความคุ้มค่าที่จับต้องและตอบโจทย์ได้จากวัสดุคุณภาพ"

รวมถึงเดินหน้าเปิดโชว์รูมเพื่อขยายโอกาสชิงส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น ทั้งสาขาบางนา ในงบลงทุน 6 ล้านบาท, สาขาขอนแก่น งบลงทุน 10 ล้านบาท รวมถึงรีโนเวทโชว์รูมที่ CDC เพื่อพร้อมต่อการปล่อยสินค้านวัตกรรม-เทรนด์ใหม่นำตลาด ก่อนนำ WDC กลับสู่ตลาดชิงส่วนแบ่งและฐานลูกค้าเพิ่ม วางเป้าปีหน้ารายได้700-800 ล้านบาท
 

  WDCผุดโชว์รูมกระเบื้องบางนา-ขอนแก่นขยายฐานลูกค้า

นอกจากนี้ยังได้พัฒนาสินค้าภายใต้แรงผลักและแนวคิด ในการยกระดับ "Living Quality Life" ของคนไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งประสบการณ์กว่า 16 ปีทำให้บริษัทฯ มีพื้นฐาน-องค์ความรู้ในการเป็นเป็นผู้ให้และผู้สร้างสินค้าที่มีความสวยงาม มีนวัตกรรมและงานดีไซน์เฉพาะตัว สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถตอบโจทย์ต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงเข้าใจในความต้องการของกลุ่มธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีในมุมของความสวยงาม ขนาด-พื้นที่การใช้งาน งบประมาณ รวมถึงประสิทธิภาพของนวัตกรรมกระเบื้อง ที่ก้าวทันต่อกระแสของการอยู่อาศัยยุคใหม่

            นายบัณฑิต  กล่าวว่า  บริษัทได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะออกมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือการข้ามข้อจำกัดเดิมด้วย 'MICROTEC Technology' กระเบื้องอัจฉริยะ ที่มอบความปลอดภัยระดับสูงสุด จากความสามารถในการเพิ่มค่ากันลื่นของกระเบื้อง ด้วยนวัตกรรมการเคลือบสารบนพื้นผิวที่ทำให้กระเบื้อง มีผิวสัมผัสที่นุ่มสบายเท้าในขณะแห้ง แต่เพิ่มคุณสมบัติในการกันลื่นเมื่อกระเบื้องเปียก จึงทำให้ลดอุบัติเหตุได้ดี ปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สามารถใช้งานได้หลากหลายทั้งภายใน-ภายนอก โซนเปียก-แห้ง จนถึงใช้งานได้ทั้งการกรุพื้นหรือผนัง ปัจจุบัน MICROTEC Technology มีอยู่ในกระเบื้องรุ่น ENZO และเตรียมปล่อยออกมาอีก 2 คอลเลคชั่น ในรุ่น LAGOON และ LEGACY ในปีหน้า

 ทั้งนี้ WDC ยังมีกลุ่มสินค้าทดแทนหินธรรมชาติ อย่าง "QUADRA BIGSLAB" หรือนวัตกรรมอัจฉริยะวัสดุทดแทนหินอ่อน ที่สามารถแก้ pain point และข้อจำกัดการใช้หินธรรมชาติได้ในทุกมิติ ด้วยคุณสมบัติทนทานสึกกร่อนได้ยาก ทั้งยังทนต่อสารเคมีได้ดี และน้ำหนักเบากว่าหินอ่อนจริงสองเท่า รวมถึงเทคโนโลยีที่มีการจำลองลวดลายจากธรรมชาติได้อย่างเสมือนจริงด้วยเทคโนโลยีจากอิตาลี ตอบโจทย์ได้ทุกงานสถาปัตยกรรม ทั้งกรุผนัง, กรุเฟอร์นิเจอร์, ปูพื้น, ท็อปโต๊ะและเคาน์เตอร์ต่างๆ ที่สำคัญ BIGSLAB ยังเป็นวัสดุทดแทนหินธรรมชาติ ขนาดใหญ่พิเศษ 320x160 เซนติเมตร ที่ราคาถูกกว่าตลาดราวครึ่งหนึ่ง จากจุดแข็งในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีผลิตเฉพาะที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ลิขสิทธิ์ของ WDC

WDCผุดโชว์รูมกระเบื้องบางนา-ขอนแก่นขยายฐานลูกค้า

            ปัจจุบัน WDC มีโชว์รูมอยู่ทั้งหมด 7 สาขา ได้แก่ Crystal Design Center , นิมิตใหม่, หาดใหญ่, เชียงใหม่, ภูเก็ต, พัทยา และบางนา โครงการ For You Park ทั้งยังเตรียมเปิดสาขาที่ 8 ในช่วงไตรมาส4 ปีนี้ ที่ขอนแก่น เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและรองรับความต้องการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำหน่ายสินค้าออกเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้ากระเบื้อง ทั้งเซรามิกและพอร์ซเลน, กลุ่มสินค้าวัสดุทดแทนกระเบื้อง ได้แก่ Vinyl, SPC, Laminate และ Engineering Wood, กลุ่มสินค้า Mosaic ทั้งพอร์ซเลน และ Glass Mosaic, กลุ่มสินค้า Big Slab คือ Large Format Porcelain ได้แก่ Marble Tile, Quartz Stone และกลุ่มสุขภัณฑ์  ทั้งก๊อกน้ำ อ่างอาบน้ำ ฝักบัว และโถสุขภัณฑ์

 

            นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าแล้วยังให้ความสำคัญกับระบบภายในเพื่อเตรียมความพร้อมในการรุกตลาดอย่างเต็มตัว เราได้ปรับปรุง back in operation รวมถึงมีการซื้อ ระบบ ERP, CRM และ ระบบ Warehouse WMS ใหม่ ซึ่งภายหลังที่ตลาดเริ่มฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงปี 2022 บริษัทฯ จะมองถึงเป้าใหญ่ต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งดำเนินแผนที่วางไว้ในการจดทะเบียนเปิดบริษัทต่างประเทศแรกที่ อินโดนีเซีย ตามด้วยเวียดนามและฟิลิปปินส์ ตามลำดับ โดยการขยายตัวไปยังตลาดต่างประเทศจะช่วยยกระดับรายได้ของบริษัทฯ ไปในจุดใหม่ วางเป้า2,000-3,000 ล้านบาท ใน 3-5 ปีข้างหน้า พร้อมจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปี 2567