คลังชงครม.อนุมัติของขวัญปีใหม่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีกระตุ้นคนรวยใช้จ่าย

คลังชงครม.อนุมัติของขวัญปีใหม่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีกระตุ้นคนรวยใช้จ่าย

คลังชงครม.อนุมัติของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โดยหนึ่งในมาตรการ คือ การนำรายจ่ายในการซื้อสินค้ามาหักลดหย่อนภาษีได้ พร้อมเผยไม่มีแนวคิดต่ออายุมาตรการคนละครึ่งเฟสสี่ ชี้การบริโภคภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวแล้ว

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกล่าวว่า กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยหนึ่งในมาตรการ คือ การให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ามาหักลดหย่อนภาษีได้

“เราได้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนเพื่อรอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว โดยวาระการพิจารณาจะอยู่ภายในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ หากบรรจุวาระได้ทัน ก็จะน่าจะมีการพิจารณาในวันนี้”

เขากล่าวว่า มาตรการนี้ จะช่วยกระตุ้นให้คนที่มีเงิน และอยู่ในระบบภาษี ให้กันมาใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อนำค่าใช้จ่ายในจำนวนที่จะถูกกำหนดขึ้น ไปหักลดหย่อนภาษี คล้ายกับมาตรการช้อปดีมีคืนที่รัฐบาลเคยใช้มาแล้ว

 ทั้งนี้ มาตรการช้อปดีมีคืนในอดีตนั้น จะให้ผู้เสียภาษี นำรายจ่ายที่ซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 3 หมื่นบาท มาหักลดหย่อนภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา

เขากล่าวอีกว่า กระทรวงการคลัง จะต้องเริ่มลดการใช้มาตรการประเภทที่เป็นการให้เงิน เช่น โครงการคนละครึ่ง เนื่องจาก ขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว อัตราการบริโภคภายในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นติดต่อกันถึงสามเดือน จากผลของการฟื้นตัวของการส่งออกของประเทศ และแรงงานที่เคยถูกให้หยุดการทำงานชั่วคราว เริ่มกลับเข้ามาทำงาน โดนเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ รวมถึงพนักงานของสายการบินที่เคยหยุดบิน เริ่มกลับเข้ามาทำงานมากขึ้น

สำหรับกรณีที่มีการเรียกร้องมาตรการคนละครึ่งเฟสสี่นั้น นายอาคม กล่าวว่า ขณะนี้การฟื้นตัวของการบริโภคดีขึ้นแล้ว และเศรษฐกิจก็ค่อยๆฟื้นตัว ดังนั้นความจำเป็นที่จะใช้มาตรการนี้ต่อเนื่องก็ มีความจำเป็นลดลง  ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้เงินกู้ทีมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่อเศรษฐกิจ

“คนที่ร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ก็ขอให้เร่งใช้สิทธิ์ ถ้าใช้ไม่ทันหรือใช้เงินไม่หมดภายในสิ้นปีนี้ เราก็จะยึดเงินที่ให้คืน”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจจากผลของโควิด-19 ถึงสองครั้ง ครั้งแรก 1 ล้านล้านบาท และครั้งที่สองอีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งใช้ในโครงการที่ให้เงินกับประชาชน ผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเราชนะที่จ่ายเงินให้กับคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โครงการให้เงินกับคนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการคนละครึ่ง รวมกันแล้วเป็นเม็ดเงินราว 2.1 แสนล้านบาท