BGRIM ผนึกพันธมิตรลุยโครงการ LNG-to-Power ในเวียดนาม

BGRIM ผนึกพันธมิตรลุยโครงการ LNG-to-Power ในเวียดนาม

ร์ บีกริม เพาเวอ-ECV- ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ สร้างความร่วมมือทางธุรกิจ พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าแบบ LNG-to-Power ขนาด 3,600 เมกะวัตต์ โดยจัดตั้งอยู่ที่ มุย เค กา (MKG) จังหวัดบินห์ทวน ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หรือ และ เอนเนอร์ยี่ แคปปิตอล เวียดนาม (ECV) บริษัทโฮลดิ้งและพัฒนาธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 เพื่อรองรับรูปแบบการลงทุนในประเทศเวียดนาม   ได้ลงนามในสัญญาร่วมพัฒนาโครงการ (Joint Development Agreement : JDA) โดยใช้ประสบการณ์ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนามมากว่า 20 ปี และความเชี่ยวชาญของทีมงานทางด้านการบริหารโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 2,000 เมกะวัตต์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างมีเสถียรภาพ และมีประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุด

ขณะที่บริษัท ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ และ ECV ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ จะส่งมอบอุปกรณ์ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติมาทดแทนการใช้ถ่านหิน โดยประเมินมูลค่าการก่อสร้างโครงการประมาณ 1.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นาย ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM กล่าวว่า  บี.กริม เพาเวอร์ รู้สึกยินดีที่จะได้ทำงานกับ ECV, ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ และ Maius เพื่อดำเนินโครงการ LNG-to-Power ของ MKG และเราพร้อมสนับสนุนแผนแม่บทการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับที่ 8 ที่จะออกมาในเร็ววันนี้

"เรามีความมั่นใจอย่างยิ่งในการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ในโครงการนี้ เพื่อเป็นหลักสำคัญในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของเวียดนาม ซึ่ง LNG เป็นที่ยอมรับในสากลว่าเป็นเชื้อเพลิงที่คุ้มค่าและมีความสะอาดกว่าถ่านหิน โดยโครงการ MKG LNG จะมีส่วนช่วยในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในเวียดนาม ให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ทำขึ้นภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) และในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์"

 

 

 

นาย ริช ไรซิก รองประธานอาวุโส ฝ่ายพัฒนาโครงการและการลงทุนของซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ กล่าวว่า โลกเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งในการจัดหาพลังงานที่ยั่งยืนเพื่อรองรับความต้องการพลังงานในปริมาณมาก อันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ผลักดันให้เราตอบสนองความต้องการพลังงานเหล่านั้นในแนวทางที่มีความยั่งยืนมากขึ้น พร้อมกับจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ซึ่งก๊าซธรรมชาติทำหน้าที่เป็นสะพานช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ประมาณ 2 ใน 3 เมื่อเทียบกับถ่านหิน โดยมีความมั่นคงด้านทรัพยากรด้วย โดยซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ภูมิใจที่จะร่วมโครงการ MKG ของ ECV ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการ LNG-to-Power ที่มีความล้ำหน้าและก้าวหน้ามากที่สุดในเวียดนาม"

นาย เดวิด ลิววิส ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ECV กล่าวว่า การได้ร่วมมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ และซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ คือ การประกาศถึงความแข็งแกร่งของโครงการ MKG ในเวียดนามการเป็นหุ้นส่วนกับบี.กริม เพาเวอร์ และซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงการ LNG-to-Power ของ ECV ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่สำคัญให้กับเวียดนาม

 "เหนือกว่าประสิทธิภาพและความสามารถทางวิศวกรรมระดับเวิลด์คลาส บี.กริม เพาเวอร์ และซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการพัฒนาโครงการ โดยยกระดับความสัมพันธ์และประสบการณ์ระดับโลก เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่ครบวงจร โดยเวียดนามถือเป็นตลาดที่ยังใหม่มากสำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซ LNG เมื่อประเทศเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินมาเป็นพลังน้ำ ขณะที่การเติบโตทางการใช้ไฟฟ้าในแต่ละปีเพิ่มขึ้นเกือบถึง 10% ECV มองเห็นสิ่งนี้และเข้ามาดำเนินธุรกิจในเวียดนามอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2558 เพื่อเตรียมตัวสำหรับโอกาสการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"

เวียดนามกำลังอยู่ในขั้นตอนทำให้แผนแม่บทการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับที่ 8 เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งคาดว่าจะรวมโครงการ LNG-to-Power ของ ECV ใน มุย เค กา (MKG) ซึ่งอยู่ใกล้กับศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญนอกเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ด้วย โดย ECV ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับคณะกรรมการประชาชนแห่งจังหวัดบินห์ทวน เมื่อปี 2562 เพื่อพัฒนาโครงการ LNG-to-Power ซึ่งมีหลายเฟส โดยได้รับความเห็นชอบในหลักการจากนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2563 แล้ว โครงการ MKG จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าถึง 3,600 เมกะวัตต์ และใช้ก๊าซ LNG 3 ล้านตันต่อปี (MTPA) โดยโครงการจะนำสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซธรรมชาติแบบลอยน้ำ (FSRU) มาใช้ประโยชน์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการลำเลียง LNG และจะเชื่อมต่อกับท่อส่งใต้ทะเลไปยังคอมเพล็กซ์ไฟฟ้าบนฝั่ง โดยเฟสแรก 1,800 เมกะวัตต์ มีแผนที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2568