ตลาดเพิ่มความระวังต่อผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่
ตลาดเริ่มประเมินผลกระทบของโอมิครอน การระบาดของสายพันธ์โอมิครอนเริ่มสร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังหลายประเทศพบการระบาดอย่างรวดเร็ว และเริ่มจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้นเพื่อหยุดยั้งการระบาดและจำนวนผู้ป่วยในระบบสาธารณสุข
ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนสายพันธ์ใหม่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้ได้รับวัคซีนแล้วรวมทั้งผู้ที่ติดเชื้อมาก่อน (ซึ่งทำให้ป่วยหรือกลายเป็นพาหะนำโรคได้) ส่งผลให้การควบคุมการระบาดของโอไมครอนอาจจะมีความยากลำบากกว่าที่เคยประเมินกัน ขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทย เริ่มมีการพิจารณาระงับการเดินทางแบบรอดูผลทดสอบ (Test&go) ซึ่งจะทำให้การเปิดประเทศรวมถึงการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวล่าช้า ขณะที่การเริ่มพบผู้ป่วยโอไมครอนรายแรกนอกระบบการกักตัว และความเสี่ยงที่อาจมีผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการหลุดรอดเข้าประเทศหลังเสร็จสิ้นการแสวงบุญ ทำให้ต้องจับตาความเสี่ยงที่จะมีการระบาดขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า
ประเด็นเก็งกำไรและผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มต่างๆ กลุ่มบันเทิง - จับตามาตรการควบคุมโรคที่อาจเข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจส่งผลลบต่อกลุ่มบันเทิงที่คาดหวังประโยชน์จากงานอีเว้นต์และการใช้งบโฆษณาในช่วงปีใหม่ อย่างไรก็ตามการปรับต้นทุนในช่วงที่ผ่านมาและการฟื้นของงบโฆษณาในภาพใหญ่ทำให้การปรับลงจะเป็นโอกาสลงทุนของหุ้นกลุ่มนี้ // กลุ่มท่องเที่ยว – การเข้าประเทศที่ยากลำบากขึ้น จะส่งผลลบต่อการฟื้นตัวของผลประกอบการกลุ่มท่องเที่ยว // กลุ่มการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ และถุงมือยาง – อาจปรับขึ้นจากแรงเก็งกำไรการระบาดระลอกใหม่ แต่คาดไม่ส่งผลให้กำไรดีขึ้นจนทำจุดสูงสุดใหม่ และกำไรของกลุ่มจะทยอยลดลงกลับสู่ระดับปกติ (normalizing) ในช่วง 3-5 ไตรมาส ข้างหน้า ดังนั้นการปรับขึ้น จึงเป็นโอกาสทยอยลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้ ทั้งนี้ทางกลยุทธ์ชอบ RAM จากขนาดของธุรกิจที่ยังต่ำกว่าสินทรัพย์รวมและความสามารถในการสร้างรายได้และทำกำไร (concensus TP 48 บาท)
ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น บวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, TIPH 2) หุ้นบริโภคในประเทศ CPN, CRC, CPALL, MAKRO 3) ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน หนุนการย้ายฐานผลิตมาไทย บวกกับ AMATA, WHA, ROJNA, CCET, SMT 4) กลุ่มการเงินหรือ IPO ที่ยังขึ้นน้อย IFS, PIN, ONEE, CV, UBE, DMT, ASW 5) ทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 6) กลุ่มได้ประโยชน์จากโควิด BCH, CHG, STA, STGT, SMD, WINMED อาจฟื้นช่วงสั้น แต่เราคงมุมมองระวังจากกำไรที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยชอบ RAM
ภาพรวมกลยุทธ์: กลุ่มได้ประโยชน์จากโอมิครอน อาจฟื้นตัว หรือมีแรงเก็งกำไรเข้ามาประคองตลาด ประกอบกับการประกาศมาตรการของขวัญปีใหม่ อาจสร้างจิตวิทยาบวกต่อการลงทุน ทั้งนี้ SET Index ไม่ควรย่อต่ำกว่า 1,600 จุด เพราะความเสี่ยงทางลงอาจไกลถึง 1,520-1,550 จุด//หุ้นแนะนำ: FSMART*, RAM*, DITTO*, SMD*
แนวรับ: 1,600-1,608 / แนวต้าน : 1,620-1,625 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
จีนประกาศลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับแต่โควิดระบาด - ธนาคารกลางจีนสวนทางธนาคารกลางทั่วโลก ประกาศลดดอกเบี้ยมาตรฐานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน 62 ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี 1 ปี เหลือ 3.8% จาก 3.85% แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี 5 ปี ไว้ที่ 4.65%
ครม.จัดแพ็กของขวัญ ค้าปลีก-เที่ยว-อีวีรอรับ – ครม.พิจารณาแพ็กของขวัญวันนี้ ทั้งมาตรการอัดฉีดเงินคนละครึ่งและช้อปดีมีคืน ไทยเที่ยวไทยเฟส 4 มาตรการอีวี เข้าทางค้าปลีก-ท่องเที่ยวและกลุ่มอีวี
ส่งออกพุ่งกระฉูด – พาณิชย์ฟุ้งส่งออก พ.ย.2564 โตกระฉูด 24.7% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน คาดทั้งปีโตไม่ต่ำกว่า 15-16% อานิสงส์การบริโภค-การผลิตทั่วโลกฟื้นตัว เงินบาทอ่อนค่าหนุนการแข่งขันด้านราคา
รัฐยันเก็บภาษีหุ้นกระทบน้อย - สรรพากรแจงเก็บภาษีขายหุ้นกระทบนักลงทุนรายย่อยไม่มาก คาดกดดันวอลุ่มเทรดสะดุดระยะสั้น ประเมินรัฐมีรายได้เพิ่ม 1.5-2 หมื่นล้านต่อปี รอคลังเสนอครม.ไฟเขียว ประกาศกฎกระทรวง คาดใช้เวลา 2-3 เดือน วางระบบเชื่อมตลาดหลักทรัพย์
Opportunity day –21 ธ.ค. – SIS, TSTE, NNCL, PACO, TRC, WP, UBIS / 22 ธ.ค. – YGG, MVP, MST, TKT, KK / 23 ธ.ค. – RCL, KUMWEL, TSR, GTB, SALEE, AIT / 24 ธ.ค. – HFT, FVC, SONIC
ประเด็นติดตาม: - 22 ธ.ค. – ประชุม กนง., US GDP 3Q21
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)