KBANK ส่องปี 65 รัฐกู้ต่อเนื่อง คาดหนี้ประเทศพุ่งแตะ 9.9 ล้านล้าน

KBANK ส่องปี 65 รัฐกู้ต่อเนื่อง คาดหนี้ประเทศพุ่งแตะ 9.9 ล้านล้าน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดรัฐกู้ต่อเนื่อง แม้กระทบสภาพคล่อง คาดหนี้คงค้างภาครัฐปีนี้จ่อทะลุ 9.9 ล้านล้านบาท หรือเพิ่ม 1.5 ล้านล้านบาท จากปีก่อนหลัง หลักๆ มาจากการระดมทุนผ่านออกบอนด์ ตั๋วเงินคลังมากขึ้น


       ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากวงเงินงบประมาณปี 2566 ที่ ครม. เพิ่งมีมติเห็นชอบเมื่อ 4 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา สะท้อนว่า รัฐบาลไทยยังคงทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องในปี 2566 ที่ 6.95 แสนล้านบาท ลดลงจากยอดขาดดุลประมาณ 7.0 แสนล้านบาท ในปีงบ 2565

      อย่างไรก็ดีระดับการขาดดุลดังกล่าวยังคงอยู่สูงกว่าในช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 และจะมีผลต่อแผนการก่อหนี้ของภาครัฐในช่วงไตรมาสที่ 4/2565 ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ยอดคงค้างหนี้ในประเทศของภาครัฐในปี 2565 (ตามปีปฏิทิน) มีโอกาสแตะระดับ 9.90 ล้านล้านบาท หรือขยับขึ้นประมาณ 1.50 ล้านล้านบาท จากยอดคงค้าง ในปี 2564 ในจำนวนนี้หลักๆ น่าจะเป็นการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลและตั๋วเงินคลังมากขึ้น

      อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อระดับสภาพคล่องของตลาดพันธบัตรไทยในภาพรวมจะยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากคาดว่า ธปท. จะปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรของ ธปท. ในปี 2565 ลง และไถ่ถอนพันธบัตรบางส่วน

    ซึ่งจะส่งผลทำให้ยอดคงค้างพันธบัตรของ ธปท. มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 อีก 0.55 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 2.38 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยปล่อยสภาพคล่องคืนกลับเข้าสู่ตลาด และเปิดพื้นที่ให้กับปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามแผนการกู้เงินเพื่อรองรับมาตรการฟื้นฟูผลกระทบจากโควิด-19 

      แม้จะมีแนวทางช่วยบรรเทาผลกระทบต่อระดับสภาพคล่องในตลาดพันธบัตร แต่กระนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย อาจขยับขึ้นในปี 2565 จากผลของ 2 ปัจจัย ได้แก่

     1) ทิศทางขาขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และ

     2) ปริมาณพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ภาครัฐมีแผนจะออกเพิ่มขึ้น โดยคาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี และอายุ 10 ปีของไทย อาจขยับสูงขึ้นแตะ 0.80% และ 2.20% จากระดับ 0.66% และ 1.90% ณ สิ้นปี 2564 ตามลำดับ
      การขยับสูงขึ้นต่อเนื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย มีผลกระทบต่อเนื่องมายังงบกำไรขาดทุนของระบบธนาคารพาณิชย์ ผ่านผลของการ mark to market มูลค่าพันธบัตร ธปท.และพันธบัตรรัฐบาลที่ธนาคารพาณิชย์ถือครองอยู่

   โดยปัจจุบัน น่าจะมียอดคงค้างรวมที่ประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท 

     สำหรับผลต่อสภาพคล่องในระบบนั้น คงต้องยอมรับว่า ปัจจัยการกู้เพิ่มของภาครัฐจะทำให้มีการทยอยใช้สภาพคล่องในระบบ แต่

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 2565 ยังน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงและมีโอกาสขยับขึ้นเล็กน้อย (แม้ว่าขนาดการปรับขึ้นอาจจะไม่สูงเท่ากับในปี 2564)

     เนื่องจากสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อาจเติบโตในกรอบที่จำกัด ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ที่โควิด-19 ยังยืดเยื้อน่าจะทำให้ยังคงมีการกอดสภาพคล่องในรูปเงินฝากอยู่

     โดยธนาคารพาณิชย์น่าจะยังไม่รีบระดมเงินฝาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และน่าจะไม่เร่งออกตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ (ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุน) เพิ่มขึ้น เพราะได้มีการเตรียมออกไว้แล้วตั้งแต่ปี 2564

     นอกจากนี้ผลกระทบจากการกู้เงินภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 2565 จะถูกบรรเทาลงผ่านการบริหารจัดการของธปท.

    ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลดปริมาณการออก และทยอยไถ่ถอนพันธบัตร ธปท. บางส่วนด้วยเช่นกัน 

     ดังนั้นแล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางสภาพคล่องของระบบการเงินไทยในปี 2565 จะอยู่ที่สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจต้องระวังการเปลี่ยนทิศมาเป็นฝั่งไหลออก 

     โดยเฉพาะตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ จะยุติโครงการซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการ QE และเริ่มดำเนินนโยบายการเงินแบบคุมเข้มมากขึ้นด้วยการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

     ซึ่งภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว อาจทำให้การวัดมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลและ ธปท. ที่ธนาคารพาณิชย์ถือครองเพื่อเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องมีความผันผวนตามการ mark to market ไปด้วยเช่นกัน

     สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น คาดว่า กนง.มีแนวโน้มยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

      อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายและความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ จะคุมเข้มนโยบายการเงินมากกว่าที่ตลาดคาดอย่างใกล้ชิด (เช่น มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 3 ครั้ง)

      เพราะอาจจะส่งผลทำให้ความเสี่ยงต่อกระแสเงินทุนไหลออกเพิ่มมากขึ้น และอาจนำไปสู่แรงกดดันต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 เป็นอย่างเร็ว 

     โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นไปอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเป็นเวลาประมาณ 6 เดือนติดต่อกัน และหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเริ่มขยับขึ้นจริงก็จะส่งผลทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม

      โดยเฉพาะดอกเบี้ยประจำ 3-12 เดือน และ MLR ซึ่งจะเป็นบวกต่อ NIM ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 เพราะธนาคารจะยังไม่รับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ปรับขึ้นดังกล่าวในทันที 

     อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้น ธนาคารพาณิชย์ก็อาจจะต้องติดตามสถานการณ์คุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้นโดยเฉพาะหากระดับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจไทยยังไม่เข้มแข็งพอ

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์