‘กลุ่มบันเทิง’รุกตลาดคริปโทฯ แห่ออก‘โทเคน’-ขาย‘เอ็นเอฟที’
“สินทรัพย์ดิจิทัล” หรือ “คริปโทเคอร์เรนซี่” เป็นสินทรัพย์ที่กำลังมาแรงสุดๆ ซึ่งนอกจากเรื่องการลงทุนแล้ว คริปโทฯ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเหรียญแต่ละประเภท
ทำให้ตอนนี้ภาคธุรกิจตื่นตัวกันมากๆ แห่ออกโทเคนของตัวเอง ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เล็งเห็นโอกาสนี้ คือ “ธุรกิจสื่อและบันเทิง” อย่างบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS แม้ปัจจุบันจะไม่ใช่องค์กรสื่อเต็มรูปแบบ หลังเบนเข็มเข้าสู่ธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) จนกวาดรายได้จากการขายสินค้าเป็นกอบเป็นกำ
ภายใต้กลยุทธ์ Entertainmerce ที่นำจุดแข็งของบริษัท คือ ศิลปิน นักร้อง นักแสดงในสังกัด และสื่อที่มีอยู่ในมือมากมาย ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ มาเป็นเครื่องมือรุกเจาะตลาดคอมเมิร์ซ
เรียกว่า RS เป็นองค์กรสื่อแรกๆ ของประเทศที่เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจ หลังเห็นอนาคตแล้วว่าธุรกิจบันเทิงคงไม่ได้หวือหวาร้อนแรงเหมือนเช่นในอดีต ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงเร่งยกเครื่ององค์กรฝ่ากระแสดิจิทัลดิสรัปชั่น
ซึ่งต้องยกเครดิตนี้ให้กับหัวเรือใหญ่ “เฮียฮ้อ” สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ที่มองการณ์ไกล และแน่นอนว่าเมื่อกระแสคริปโทฯ กำลังมา มีหรือที่ RS จะยอมตกขบวน ด้วยการประกาศเปิดตัว “Popcoin Token” ดิจิทัลโทเคนประเภท Utility Token ที่มีธุรกิจของ RS เป็นสินทรัพย์อ้างอิง
โดยบริษัทหวังให้ Popcoin เป็นสื่อกลางในการทำการตลาดและกิจกรรมภายในกลุ่มบริษัท เช่น ผู้ถือเหรีญ Popcoin สามารถนำเหรียญมาแลกสินค้า ของที่ระลึก ของสะสม หรือรับชมคอนเทนท์ และเข้าร่วมกิจกรรมที่บริษัทจัดขึ้น ช่วยทำบรรดาแฟนคลับได้ใกล้ชิดกับศิลปินดาราที่ชื่นชอบมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังสามารถฝากเหรียญไว้ในแพลตฟอร์มเพื่อรับผลตอบแทน ซึ่งผลตอบแทนมาจากการหักส่วนแบ่งจากคนที่แลกสิทธิผ่าน Popcoin Application ซึ่งระบบจะหักไว้ 5% ที่สำคัญนักลงทุนสามารถนำเหรียญ Popcoin มาซื้อขายแลกแปลี่ยนบนแพลตฟอร์มของ Bitkub โดยบริษัทตั้งเป้าจะเริ่มเทรดในเดือนม.ค.นี้
ขณะเดียวกันบริษัทเปิดกว้างให้แบรนด์สินค้าต่างๆ สามารถนำ Popcoin ไปใช้ทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้เช่นกัน ถือว่า “วิน-วิน” กันทุกฝ่าย โดยปัจจุบันมีผู้ถือเหรียญ Popcoin แล้วมากกว่า 5 แสนราย หลังเปิดตัวไปเมื่อเดือนพ.ย. ปีที่ผ่านมา และบริษัทตั้งเป้าว่าจะทะลุ 1 ล้านราย ในเดือนก.พ. นี้
สำหรับ RS จะได้ประโยชน์มากมายจากการออกเหรียญ Popcoin โดยเฉพาะข้อมูลของผู้บริโภคซึ่งถือเป็น Big Data สำคัญ สามารถนำมาสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด
ส่วนค่ายดังย่านอโศก บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ไม่น้อยหน้า ขอกระโดดลงสู่ธุรกิจ NFT หรือ Non-Fungible Tokens เป็นคริปโทฯ ประเภทหนึ่ง โดยจะแปลงสินทรัพย์ที่มีความเฉพาะตัว เช่น เพลง มิวสิควีดิโอ ภาพยนตร์ ผลงานศิลปะ ภาพถ่าย การ์ตูน เกม ฯลฯ มาอยู่ในรูปโทเคนดิจิทัล NFT โดยสามารถนำไปขายต่อหรือเปิดประมูลได้
โดย GRAMMY ได้ประกาศความร่วมมือกับ 4 แพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ "Bitkub" ซึ่งวางกลยุทธ์สำหรับสินค้าในแพลตฟอร์มนี้ให้เป็นเรื่องของ Young Artist ที่มี Digital Mindset มีความครีเอทีฟ ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่, "Zipmex" เน้นเรื่อง Campaign Innovation การสร้างคอมมูนิตี้จัด Virtual fan meet และ Global Connector ดึงดูดกลุ่มแฟนคลับทั่วโลก
"Coral" กลยุทธ์ Mass Inventory Collection เป็นสินค้าของศิลปินที่เป็นขวัญใจมหาชน และ "East NFT" จะเป็นชิ้นงานประวัติศาสตร์ของศิลปินชื่อดังระดับตำนาน มีเพียงชิ้นเดียวในโลก ซึ่งการเจาะตลาด NFT จะเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ให้กับบริษัทในยุคดิจิทัล
ด้านบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ของ “เสี่ยตา” ปัญญา นิรันดร์กุล ผนึกกำลังกับกลุ่มยานแม่ไทยพาณิชย์ โดยร่วมทุนกับ เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) ตั้งบริษัทร่วมทุน “ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น” ร่วมพัฒนาแอพพลิเคชั่น “T-POP” เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอผลงานของศิลปินไทยออกสู่สายตาชาวโลก รวมทั้งยังเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการทำ NFT ในอนาคตอีกด้วย
อีกหนึ่งเจ้าคอนเทนท์ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ของ “แอน” จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ สตรีข้ามเพศที่โด่งดังไปทั่วโลก จับมือกับ EAST NFT เปิดตัว NFT คอลเลคชั่นแรก ด้วยรูปภาพของคุณแอน จำนวน 20 รูป ให้ผู้ที่ชื่นชอบได้สะสม และยังเป็นการส่งเสริมเรื่องสิทธิมนุษยชนและความหลากหลายทางเพศ
เชื่อว่าในอนาคตจะมีคอลเลคชั่นและผลงานใหม่ๆ ตามมาอีกมากมาย เพราะ JKN เป็นผู้นำเข้าคอนเทนท์ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก