ผ่าธุรกิจ “อาคเนย์” ทุนใหญ่ประกันใต้ TGH
ข่าวใหญ่การงัดข้อระหว่างบริษัทประกันยักษ์ใหญ่กับหน่วยงานกำกับดูแล โดยมีประชาชนเป็นเดิมพัน สร้างผลกระทบในหลายด้านเพราะการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นมามาจากกรณีคำสั่งห้ามยกเลิกกรมธรรม์ “เจอ จ่าย จบ ” ทำให้ธุรกิจประกันต้องออกมายื่นคัดค้าน
รายใหญ่ในธุรกิจประกันดังกล่าว บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGH ยื่นร้องต่อศาลปกครองกลางผ่าน บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กับพวก ฟ้องร้อง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ไม่ชอบด้วยกฎหมายกรณีประกันโควิด “เจอ จ่าย จบ”
เนื่องจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย มีมติเอกฉันท์ยื่นอุทธรณ์ บอร์ด คปภ.พิจารณายกเลิกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 การใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัทในกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย
หากออกมามีการสั่งคุ้มครองชั่วคราวคำสั่งของ คปภ. จะกระทบประชาชนที่ถือกรมธรรม์ดังกล่าว 10 ล้านราย แต่กรณียืนยันตามคำสั่งคปภ. ธุรกิจประกันภัย อาจจะมีความเสี่ยงภาวะล้ม และ ปิดกิจการตามมาในบางบริษัทด้วยเงินกองทุนไม่เพียงพอ
ด้วยตัวเลขก่อนสิ้นปีเงินกองทุน บริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัยโดยรวมนั้นอยู่ที่ประมาณ 132,000 ล้านบาท แต่การเคลมประกันโควิดใกล้ทะลุ 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของเงินกองทุนทั้งหมด ซึ่งอัตรานี้เป็นค่าเฉลี่ยของทุกบริษัท ทำให้อาจมีบางบริษัทที่มีความเสียหายสูงกว่าเงินกองทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก และอาจเพิ่มสูงถึง 60-70% ของเงินกองทุนหากเกิดการระบาดระลอกใหม่
ประเด็นดังกล่าวต้องรอติดตามคือการรับพิจาณาคดีของศาลปกครอง แต่ทำให้พูดถึง TGH ที่ถือหุ้นใน อาคเนย์ประกันภัย ทำไหมถึงเดินหน้าคัดค้านมติ คปภ. ยื่นร้องต่อศาลปกครองกลาง รายใหญ่ในธุรกิจประกันของไทยมีที่มาและที่ไปอย่างไร รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทประกันแห่งนี้ถึงขั้นต้องออกหน้าเสื่อมารับหน้าที่หัวหมู่ทะลวงฟันที่ต้องยอมรับว่าแลกกับความไม่พอใจของประชาชนที่เป็นลูกค้าประกัน
TGH ดำเนินธุรกิจประกันในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2489 หรือ 75 ปี ภายใต้ชื่อ “อาคเนย์” ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือปี 2561 ด้วยการรับการรวมธุรกิจจากกลุ่ม TGH เพื่อเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด
ภายใต้ TGH เป็นผู้นำสำคัญในกลุ่มธุรกิจการเงินยักษ์ใหญ่ของ "ทีซีซี" ภายใต้เจ้าของและผู้บริหารหลัก คือกลุ่ม “เจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนภักดี” มหาเศรษฐกิจไทยอันดับที่ 3 ปี 2564 จากนิตยสาร Forbes
โดยมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกคือ 1. บริษัท ผลมั่นคงธุรกิจ จำกัด สัดส่วน 45% ,บริษัท อาคเนย์ แมเนจเม้นท์ จำกัด สัดส่วน 31.40% , บริษัท ไทยสิริวัฒน จำกัด สัดส่วน 4.99% ,บริษัท เพรสทีจ 2015 จำกัด สัดส่วน 4.97% และ บริษัท สินธนรัตน์ จำกัด สัดส่วน 4.92%
กลุ่มอาคเนย์ดำเนินธุรกิจประกัน ประกอบไปด้วยธุรกิจประกันชีวิตที่เป็นกำไรหลักของกลุ่ม คือ “อาคเนย์ประกันชีวิต” , ธุรกิจประกันวินาศภัย ผ่าน “ อาคเนย์ประกันภัย” “อินทรประกันภัย” และ” ไทยประกันภัย” , ธุรกิจลิสซิ่ง ผ่าน “ อาคเนย์แคปปิตอล”
โดยมีธุรกิจที่ทำรายได้มากที่สุด ตามโครงสร้างรายได้ สิ้นปี 2563 อันดับ 1 ธุรกิจประกันชีวิต 41.15 % อันดับ 2 ประกันภัย 37.85% อันดับ 3 ธุรกิจการเงิน 17.96 % และอื่นๆ 3.04%
ช่วงระยะเวลาเกือบ 3 ปี TGH มีฐานะการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างทีนัยยะสำคัญ โดยในปี 2563 มีรายได้ 23,299 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 3.57 % แต่มีกำไร 739 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 167 %
ขณะที่ 9 เดือนแรก ปี 2564 มีรายได้ 27,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกธุรกิจ แบ่งเป็นเบี้ยรับประกันชีวิต เพิ่มขึ้น 37 % เบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้น 26 % ธุรกิจการเงินเพิ่มขึ้น 12 % และอื่นๆเพิ่มขึ้น 145 %
โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 224 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 791 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 567 ล้านบาท กำไรสุทธิที่ลดลงมาจาก ธุรกิจประกันชีวิตซึ่งมีกำไรสุทธิลดลงจำนวน 186 ล้านบาท จากรายได้จากเงินลงทุนที่ลดลง
ธุรกิจประกันภัยมีผลการดำเนินการขาดทุน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัย เพิ่มขึ้นจากค่าสินไหมทดแทนของการรับประกัน COVID-19 โดยที่ผลการรับประกันภัยรถยนต์มีการปรับตัวดีขึ้นมาก และธุรกิจการเงินมีกำไรจากการควบคุมค่าใช้จ่าย และต้นทุนทางการเงิน อีกทั้งลดส่วนขาดทุนในการขายรถยนต์หมดสัญญาเช่า
ทั้งนี้ผลกระทบจากช่วงไตรมาส 3 หรือช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 ถือว่าหนักสำหรับธุรกิจประกัน เพราะเผชิญภาวะขาดทุนและยังมีแนวโน้มขาดทุนต่อในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่เตรียมประกาศออกมา ยิ่งมีสายพันธุ์ “โอมิครอน” ที่ติดได้ง่ายทำให้ยอดเคลมประกันมีสิทธิจะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิของผู้เอาประกันในฐานะที่ซื้อสินค้าและบริการไปแล้ว
ผลพ่วงจากการการระบาดโควิดที่ต่อเนื่องยาวนาน และการรับมือการระบาดในประเทศที่ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน กลายเป็นบทเรียนราคาแพงให้กับคนในแวดวงประกันที่เร่งขายประกัน "เจอจ่ายจบ" และประชาชนที่หวาดผวาซื้อประกันจำนวนมาก จนสุดท้ายยังไม่ใครคาดการณ์ได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากแค่ไหนในอนาคต