โบรกแนะย้ายกลุ่มลงทุนหุ้นคุณค่า-ปันผลสูง รับมือตลาดหุ้นผันผวน
“บล.ทรีนี้ตี้” เผยหุ้นไทยต้นสัปดาห์ผันผวน เหตุบอนด์ยิลด์พุ่ง-ส่วนต่างผลตอบแทนลดลง คาดดัชนีฯ เสี่ยงผันผวนจนกว่าเฟดจะประกาศนโยบายลดสภาพคล่องชัดเจน แนะธีมลงทุนรายตัวกลุ่มปันผลสูง-ราคาแลกการ์ด “บล.เอเซีย พลัส” แนะย้ายเงินลงทุนกลุ่มหุ้นคุณค่า
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (17-19 ม.ค.2565) เคลื่อนไหวผันผวน หลักจากแรงกดดันต่างประเทศ ภายหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) รัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นในระดับสูง ส่งผลให้การลงทุนตลาดหุ้นมีความน่าสนใจลดลงจากส่วนต่างผลตอบแทน (Earning Yield Gap) เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดดัชนียังเคลื่อนไหวผันผวนจนกว่าจะมีความชัดเจนจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับการถอนสภาพคล่องออกจากระบบเศรษฐกิจ โดยกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีระยะต่อจากนี้ กรณีที่บอยด์ยิลด์สหรัฐทรงตัวในระดับสูง 1.8-1.9% จะมีแนวต้าน 1,740-1,770 จุด แนวรับที่ 1,570-1,600 จุด ซึ่งการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยในปัจจุบันที่บริเวณ 1,660 จุด ถือเป็นจุดกึ่งกลางจึงต้องระมัดระวังและเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy)
สำหรับธีมลงทุนช่วงที่ตลาดหุ้นยังผันผวน แนะนำ Selective Buy หุ้นที่มีปัจจัยบวก และผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังติดลบหรือปรับขึ้นช้ากว่าตลาด (แลกการ์ด) รวมถึงหุ้นปันผลสูงที่จากสถิติมักจะให้ผลตอบแทนดีในช่วงต้นปี ได้แก่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และ บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป (TOG)
นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า คาดตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนจนถึงช่วงการประชุมเฟดวันที่ 25-26 ม.ค. ซึ่งต้องติดตามจะมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าหรือไม่ รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ โดยระหว่างนี้คาดดัชนีจะแกว่งตัวที่แนวรับ 1,635 จุด และแนวต้าน 1,685 จุด
สำหรับการลงทุนภายหลังบอนด์ยิลด์สหรัฐปรับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 1.87% ส่งผลให้เกิดกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากกลุ่มหุ้นเติบโต (Growth Stock) ซึ่งมูลค่า (Valuation) เริ่มแพง มายังกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value Play) ที่ราคายังปรับขึ้นได้ช้ากว่า เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มประกัน โดย บล.เอเซีย พลัส แนะนำนักลงทุนย้ายเงินมายังกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน โดยเลือก ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL)
นอกจากนี้ แนะนำแบ่งเงินลงทุนหุ้นปันผลสูง เพราะเป็นกลุ่มที่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงต้นปี โดยเลือกหุ้นที่จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงกว่า 5% ได้แก่ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) และบมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO)
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวน จากปัจจัยกดดันบอนด์ยิลด์สหรัฐปรับขึ้นตามความกังวลเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย โดยจะต้องติดตามถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวลประธานเฟดในการประชุมวันที่ 25-26 ม.ค. ว่าจะมีการส่งสัญญาณเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งในระหว่างนี้คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,630-1,650 จุด และแนวต้าน 1,680 จุด
ขณะที่การลงทุน แนะนำ Selective Buy ในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2564 จะออกมาดี และจะดีต่อเนื่องในปี 2565 รวมถึงเป็นกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ กลุ่มพลังงาน บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) จากทิศทางราคาน้ำมันดิบขาขึ้น กลุ่มธนาคาร KBANK จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และกลุ่มสื่อสาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC)