เมอร์เคิล เปิด2 กลยุทธ์ลงทุนคริปโทฯ บล็อกเชน-เมตาเมิร์ส รับเทรนด์โลกอนาตต
จากเวที Cryptomind Investment Forum 2022 เมื่อ 25 ม.ค.2565 โดย บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด (Merkle Capital) ในฐานะผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกของไทย ในเครือ คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Cryptomind Group)
ฉายภาพ “ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล” ในปี 2565 ยังมี “ความผันผวนสูง” จากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค
พีรพัตน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย Research Cryptomind Advisory และ ผู้ก่อตั้งเพจ Blockchain Review มองว่า แนวโน้มตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในปีนี้ “ไซด์เวย์อัพ” ตลาดยังมีความผันผวนสูง แต่ยังเป็นเทรนด์เติบโตระยะยาว ด้วยมูลค่าตลาดบิทคอยน์แตะอันดับ 9 มีมูลค่าคิดเป็น 1 ใน 10 ของมูลค่าตลาดทองคำ ทว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง เมื่อมีความผันผวนมักจะมีแรงขายออกมาก่อน
แต่เชื่อว่าตลาดจะไม่ปรับตัวลงแรงเท่าในอดีตแล้ว คาดราคาบิทคอยน์ปีนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30,000-80,000 ดอลลาร์ มองเทรนด์ระยะยาวทิศทางดีขึ้น ราคาบิทคอยน์ปรับตัวลงในตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีเข้าลงทุนได้
ขณะเดียวกัน เทรนด์ “สินทรัพย์ดิจิทัล” ปีนี้มาแรงยังโตต่อเนื่อง ได้แก่ บิทคอยน์ ดีไฟน์ (DeFi) และ NFT และพัฒนาการใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ได้แก่ บล็อกเชน (Blockchain ) Layer 1 เกมไฟน์ (Game Fi) และ มาตาเวิร์ส (Metaverse) ที่เชื่อมโลกเก่าไปสู่โลกใหม่เว็บ 3.0 เร็วขึ้น
ดังนั้น สินทรัพย์ดิจิทัล “บล็อกเชน” และ "เมตาเวิร์ส” ถือเป็นโอกาสลงทุนปีนี้ “เมอร์เคิล แคปปิตอล” เปิดตัว 2 กลยุทธ์ลงทุนใหม่สำหรับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล คือ “M-Metaverse” และ “M-Blockchain” เตรียมเสนอขายครั้งแรก 26-31 ม.ค. นี้ มูลค่าลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 100,000 บาท และจะเริ่มบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างเป็นทางการ 1 ก.พ. นี้
นายกานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน Merkle Capital เจ้าของเพจ Kim DeFi Daddy และ ผู้ก่อตั้งเพจ Bitcoin Addict Thailand กล่าวว่า ด้วยเทรนด์ของ Blockchain ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเทคโนโลยีบล็อกเชนได้เติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการทำธุรกรรมทางการเงินโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อย่าง Blockchain Platform และ Smart Contract Platform
ดังนั้น กลยุทธ์แรก “M-BLOCKCHAIN” จึงเป็นทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Blockchain Platform และ Smart Contract Platform อย่างเช่น เทคโนโลยี Layer 1, Layer 2 ที่เป็นรากฐาน หลักของ Blockchain ที่จะนำไปสู่การสร้างและพัฒนาของเทคโนโลยี Web3.0 และ Application กระจายศูนย์ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กับผู้คนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น และทำให้ การพัฒนาของบล็อกเชนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
จากนั้นด้วยเทคโนโลยี “บล็อกเชน” ได้เติบโตอย่าง "ก้าวกระโดด" ในปีที่ผ่านมา และได้เป็นรากฐานของเทคโนโลยี Web3.0 สามารถต่อยอดไปสู่ Metaverse มีศักยภาพที่จะ Disrupt การใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้คนเหมือนกับโซเชียลมีเดียที่ใช้เทคโนโลยี Web2.0 แต่ด้วยความสามารถของบล็อกเชนที่เป็นระบบเปิดไร้ตัวกลางไร้พรมแดน และไม่ถูกปิดกั้นจึงเป็นไปได้อย่างมากว่าเทคโนโลยี Web3.0 และ Metaverse Ecosystem จะเป็นเทคโนโลยีที่ควรค่าแก่การศึกษา
จึงเกิด กลยุทธ์ที่สอง M-METAVERSE เป็นทางเลือกการลงทุนรูปแบบใหม่ให้นักลงทุนเสมือนได้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแกนหลักสำคัญของ Metaverse ไม่ว่าจะเป็นใน Ecosystem ที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมไปถึง Games, NFT และ Infrastructure ต่าง ๆ ที่อาจมาปฏิวัติการใช้ชีวิตของผู้คนไปตลอดกาล
บริษัทจะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นแกนหลักทั้งทางตรงและทางอ้อมของเทคโนโลยี Metaverse เต็มอัตรา (Fully Invested) โดยจะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลระดับสากลตามมาตรฐาน และตาม Investment Framework ของบริษัทตามที่เห็นชอบให้ลงทุนได้สัดส่วนสินทรัพย์ในกลยุทธ์แบ่งเป็น SAND 44% MANA 28% และ ENJ 28% ค่าบริหารจัดการ 2%
ทั้งสองกลยุทธ์ใหม่นี้ สัดส่วนสินทรัพย์อาจมีการปรับเปลี่ยนรายชื่อสินทรัพย์ดิจิทัลได้ โดยพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัล การยอมรับในอุตสาหกรรม และศักยภาพการเติบโตเป็นหลัก เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระดับสูง และรับความผันผวนของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ระดับสูง สามารถลงทุนระยะกลางถึงยาว คาดหวังผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดทุน
โดยตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในปีที่ผ่านมา ผลตอบแทน “คอยน์เบส” มีผลตอบแทนเฉลี่ย 400% ซึ่ง คอยน์เบสถือเป็นแฟลตฟอร์มซื้อขายเบอร์หนึ่งในสหรัฐ และมีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และมีสภาพคล่องสูงในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ถือเป็นการปิดความเสี่ยงผู้ลงทุน