"อนุสรณ์ ธรรมใจ" หวั่นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาน้ำมันพุ่งแตะ 100 ดอลลาร์
"อนุสรณ์ ธรรมใจ" อดีตบอร์ดแบงก์ชาติคาดราคาน้ำมันพุ่งแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาสแรกปีนี้ จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่อาจลุกลามเป็นสงคราม หวั่นรัสเซียปิดท่อส่งก๊าซทั้งหมดหากชาติตะวันตกคว่ำบาตร นักลงทุนโยกเงินไปซื้อทองคำดันราคาพุ่ง 10-20%
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต เปิดเผยว่า ราคาน้ำมัน อาจแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสแรกปีนี้ จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่อาจลุกลามเป็นสงครามและตามด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก
ปัจจัยดังกล่าวจะดึงให้ราคาพลังงานทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น หากรัสเซียตอบโต้การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกด้วยการปิดท่อส่งก๊าซทั้งหมดที่เข้าไปในยุโรปซึ่งคิดเป็นปริมาณการใช้ 1 ใน 3 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาก๊าซและพลังงานในยุโรปพุ่งสูงขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม ข่าวดี คือ ในอดีตรัสเซียยังไม่เคยปฏิบัติการปิดท่อส่งก๊าซส่งออกทั้งหมด เนื่องจากจะกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซียอย่างรุนแรงด้วย ในช่วงความขัดแย้งสูงสุดในยุคสงครามเย็นหรือช่วงวิกฤตการณ์คาบสมุทรไครเมียเมื่อปีพ.ศ. 2557 ก็มีการปิดท่อบางส่วนเท่านั้น
แต่ก็ไม่ควรประเมินในแง่ดีว่าจะไม่เกิดขึ้น หากเกิดขึ้นจะสร้างความซับซ้อนต่อราคาพลังงานในตลาดโลกอย่างยิ่ง และน่าจะทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปแตะระดับ 120-130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากมีการตอบโต้กันด้วยการปิดท่อส่งก๊าซทั้งหมด
รวมทั้งหากมีการปิดกั้นไม่ให้รัสเซียใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ Swift (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยที่มีธุรกรรมทางการเงินกับรัสเซียได้ ทั้งระบบการชำระเงิน ระบบแลกเปลี่ยนเงินตรา
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำอาจปรับเพิ่มอีกอย่างน้อย 10-20% จากระดับปัจจุบันในปีนี้ นักลงทุนมีแนวโน้มโยกเงินมาถือครองสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงอย่าง "ทองคำ" และ "พันธบัตร" มากขึ้น เมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทยอยลดปริมาณเงินและถอนมาตรการ QE ในตลาดการเงินโลก
รวมทั้งคาดว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากถึง 5 ครั้งในปีนี้ มากกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้เดิม โดยตลาดหุ้นไม่น่าจะมีการปรับฐานปรับตัวลงแรง เนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาหุ้นทั่วโลกสะท้อนการคาดการณ์นี้เข้าไปในราคาแล้ว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึง การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียว่า จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจการส่งออกและการลงทุนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มทุนข้ามชาติสัญชาติไทยโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ภาคการก่อสร้างและภาคบริการ ทางรัฐบาลซาอุฯได้เปิดกว้างให้นักลงทุนไทยสามารถถือหุ้นได้ถึง 100%
รวมทั้งมีมาตรการให้สิทธิพิเศษในการเช่าที่ดินระยะยาวด้วย ขณะเดียวกัน สินค้าหลักที่ซาอุฯ มีอุปสงค์สูง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและอาหาร คือ ข้าว น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋อง อาหารแปรรูป ซอสปรุงรส เครื่องดื่ม
โอกาสทางธุรกิจสำหรับนักลงทุนไทยยังรวมถึงการเปิดร้านอาหารไทย ขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ส่งออกจากไทยโดยเฉพาะแอร์หรือเครื่องทำความเย็นก็มีความต้องการสูงเช่นกัน
ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนในกิจการพลังงานและเหมืองแร่ในไทยโดยกลุ่มทุนธุรกิจซาอุดิอาระเบียจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 30 ปีของการลดระดับความสัมพันธ์กันส่งผลให้ปริมาณการค้าและการลงทุนระหว่างกันอยู่ในระดับต่ำมาก อย่างตัวเลขของปีที่แล้ว (พ.ศ. 2564) มีการค้าระหว่างกันมูลค่ารวม 2.3 แสนล้านบาท
โดยไทยนำเข้าสินค้าจากซาอุฯ 1.8 แสนล้าน ไทยส่งออกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ถือว่าค่อนข้างต่ำ ดังนั้นจึงยังสามารถเติบโตได้อีกมากหากมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีขึ้น คาดปีนี้มูลค่าการค้ากับซาอุฯ น่าจะมากกว่า 350,000-400,000 ล้านบาท โดยไทยจะยังขาดดุลการค้ากับซาอุฯ จากการที่ต้องนำเข้าน้ำมันและสินค้าพลังงานเพิ่มขึ้น
ซึ่งการเติบโตเพิ่มขึ้นของปริมาณและมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกจะทำให้สัดส่วนมูลค่าการค้าระหว่างไทยและซาอุฯ เทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมดเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับก่อนวิกฤติความสัมพันธ์ได้ภายในปีนี้ มูลค่าการส่งออกไปซาอุฯ ประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.6% ของการส่งออกทั้งหมดเมื่อปี พ.ศ. 2564
เมื่อไทยเปิดประตูการค้ากับซาอุฯ ได้มากขึ้น จะทำให้สัดส่วนการส่งออกไปซาอุฯ เพิ่มขึ้นไปสู่ระดับมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ได้