ปากท้องชาวบ้าน ‘สายมู’ แก้ไม่ได้
จับตาการหารือ "การท่องเที่ยวไทย-จีน" ถึงความเป็นไปได้ในการทำ "Travel Bubble" แลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว หวังท่องเที่ยวจากต่างชาติฟื้นเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนพึ่ง "สายมู" เพียงอย่างเดียว
วานนี้ (3 ก.พ.) การประชุมคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเป็นประธาน ตั้งเป้าหมายในการดึงดูดการลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 6.4 แสนล้านบาท เท่ากับที่ทำได้ในปี 2564
อุตสาหกรรมที่ยังมีแนวโน้มที่จะมีการลงทุนเพิ่มในไทยได้แก่ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า อุตสาหกรรมการแพทย์ รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ก่อนหน้านี้มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาแล้วเป็นจำนวนมาก ส่วนแผนการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติบีโอไอยังเน้นไปที่กลุ่มนักลงทุนที่เป็นนักลงทุนอันดับต้นๆ ของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น และจีน เรื่องการลงทุนก็ว่ากันไปเรื่องการท่องเที่ยวก็เป็นตัวทำเงินเข้าประเทศอีกแหล่งหนึ่งวันเดียวกันนั้น
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางไปกรุงปักกิ่งเพื่อร่วมพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว และจะขอหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวประเทศจีนถึงความเป็นไปได้ในการทำทราเวลบับเบิล (Travel Bubble) เพื่อแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างไทยกับจีนโดยไม่ต้องกักตัว และปลายเดือน ก.พ. จะหารือกับทางการมาเลเซียเรื่องทำทราเวลบับเบิล เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซียมีกำหนดเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แน่นอนว่าทั้งการลงทุนจากต่างประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติสำคัญมากสำหรับเศรษฐกิจไทย แต่ปัจจัยทั้งสองยังต้องอาศัยเวลา ขณะที่สถานการณ์ในประเทศข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานอุดรธานีรายงานมาว่า กระแสการท่องเที่ยว "ถ้ำนาคา จ.บึงกาฬ" ที่มาแรงตั้งแต่ก่อนเทศกาลปีใหม่ตามกระแสคนดัง ดารา เซเลบริตี้ และอินฟลูเอนเซอร์ ที่แห่เดินทางไปเยือนเพื่อกราบไหว้ขอพรจำนวนมาก
จนเกิดเป็นกระแสปากต่อปากล้นไปถึงแหล่งท่องเที่ยวสายมูเตลูอื่นๆ ในจังหวัดข้างเคียงที่เรียกว่า กลุ่ม “นคราธานี” ประกอบด้วย จ.อุดรธานี จ.หนองคาย และ จ.บึงกาฬ โดยเฉพาะโรงแรมที่พักในพื้นที่ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ เต็ม 100% ไปจนถึงกลางเดือน ก.พ.
ข่าวดังกล่าวฟังแล้วดูดีเมื่อเห็นธุรกิจท่องเที่ยวท้องถิ่นกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากถูกโควิด-19 ทุบเสียน่วมมาร่วมสองปี แต่คิดอีกทีคนไทยต้องเครียดและขาดที่พึ่งขนาดไหนถึงต้องเลือกหาที่พักพิงทางใจด้วยการไปท่องเที่ยวด้านศรัทธาและความเชื่อ ถึงตรงนี้อยากฝากไปถึงรัฐบาลผู้มีหน้าที่สร้างความกินดีให้ประชาชน
ในช่วงที่โควิดขาลงรัฐบาลได้หายใจหายคอทำงานคล่องขึ้นขอให้เร่งดูแลปัญหาปากท้องประชาชน เลยจุดพีคตรุษจีนมาแล้วปัญหาหมูแพงอาจดูเหมือนเบาลงเล็กน้อย (ในความรู้สึก) แต่ถ้ารับฟังเสียงชาวบ้านจะเห็นว่าสินค้าทุกชนิดยังราคาสูงมาก และธรรมชาติของการค้าขายของแพงแล้วไม่มีลง สถานการณ์แบบนี้ต่อให้ประชาชนไปพึ่ง “สายมู” อย่างไรก็แก้ไขไม่ได้ ต้องพึ่งพารัฐบาลเท่านั้น จึงขออย่าได้นิ่งนอนใจ