KCE ความท้าทายจากปัจจัยภายใน (10 ก.พ. 2565)
จากข้อมูลของ The European Automobile Manufacturers’ Association (ACEA) ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลใน EU ลดลง 2% YoY ในปี 2564 เนื่องจาก COVID-19 ระบาด และเกิดสถานการณ์ขาดแคลน chip
ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าปัญหาขาดแคลน chip จะนิ่งในปี 2565 ACEA จึงคาดว่ายอดจดทะเบียนรถใน EU จะเพิ่มขึ้น 8% YoY ในปี 2565 (Figure 2) ซึ่งจะช่วยหนุนคำสั่งซื้อสินค้าของ KCE เพราะ 70% ของรายได้รวมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 50% ของรายได้รวมมาจากยอดขายในยุโรป อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการเพิ่มกำลังการผลิตจะทำให้ยอดขายปี 2565 ไปหนักในช่วงปลายปี โดยผู้บริหารคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่ได้อย่างเต็มที่ภายใน 1Q65 ซึ่งจะช่วยหนุนให้ยอดขายโตประมาณ 15-20% ในปี 2565
อัตรากำไรขั้นต้นอาจจะดีขึ้น
ความล่าช้าในการเพิ่มกำลังการผลิตทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงใน 4Q64 (อยู่ที่ 25.3%) ซึ่งน่าจะยังทรง
ตัวใน 1Q65 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทสามารถปรับราคาขายได้ประมาณ 3% ซึ่งน่าจะช่วยพยุงอัตรา
กำไรขั้นต้นใน 1Q65 เอาไว้ เรามองว่าอัตรากำไรขั้นต้นมีศักยภาพที่จะฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่เหลือของปี
นี้ หลังจากที่เริ่มเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่อย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งจะทำให้ทั้งประสิทธิภาพในการผลิต
และ product mix ของ KCE ดีขึ้นทั้งคู่
ผลประกอบการน่าจะดีขึ้น QoQ ในปี 2565
จากที่กล่าวมาข้างต้น เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 1Q65 จะดีขึ้นทั้ง YoY (จากฐานที่ต่ำ) และ QoQ (จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการปรับราคาขาย ในขณะที่ยอดขายยังทรงตัวเนื่องจากยังกำลังการผลิตใหม่ยังไม่เพิ่มเข้ามา) เราคาดว่ากำไรของ KCE จะเพิ่มขึ้น QoQ ในปี 2565 เนื่องจากการเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่ดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่เริ่มเดินเครื่องช้ากว่ากำหนด เราจึงปรับสมมติฐานใหม่ รวมถึง ยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้นด้วย ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2565-2566 ของเราลดลงจากเดิม 10% ซึ่งหลังจากปรับสมมติฐานใหม่แล้ว เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ KCE จะโต 29% YoY ในปี 2565 และ 19% YoY ในปี 2566
Valuation & action
เรา de-rate PER จากเดิม 44.0X (ค่าเฉลี่ยระหว่าง EV segment ที่ 80.0X เทียบเท่า Tesla และ segment
อื่นๆ ที่ 41.0X เทียบเท่า การเติบโตของกำไรปี 2565) เหลือ 33.0X (ค่าเฉลี่ยระหว่าง EV segment ที่ 80.0X เทียบเท่า Tesla และ segment อื่นๆ ที่ 29.0X เทียบเท่า การเติบโตของกำไรปี 2565; คิดเป็น PEG ที่ 1.1X) เพื่อสะท้อนอัตราการเติบโตที่ลดลงของกำไรในปี 2565 ทำให้เราต้องปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ลงจากเดิมที่ 120 บาท เหลือ 80 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากเราคาดว่าผลประกอบการในปีนี้จะดีขึ้น และราคาปิดล่าสุดยังเหลือ upside อีกถึง 24% ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
Risks
ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ฯ)