ปตท. ย้ำนักธุรกิจไทยต้องปรับตัว แนะใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
ปตท. ย้ำนักธุรกิจไทยต้องปรับตัว เทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัลมาแรง แนะสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส ในยุคธุรกิจไม่มีแต้มต่อ เปลี่ยนจากเน้นผลิตสินค้าในปริมาณมาก ตั้งเป้าผลิตรถอีวีปี 2567 กว่า 50,000 คัน/ปี และจะขยายกำลังการผลิตไปถึง 150,000 คัน/ปี ในปี 2573
นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ "Finding Growth in Crisis" หลักสูตร Digital Transformation for CEO#3 โดยหลักสูตรดังกล่าวถือเป็นการจัดงานรุ่นที่ 3 ดำเนินการร่วมกันระหว่าง หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ และบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน)
นายบุรณิน กล่าวว่า เทรนด์การดำเนินธุรกิจต่อจากนี้จนถึงอนาคตจะเป็นการเอาดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ ดังนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากแค่ไหน สิ่งสำคัญคือการเติบโต และการสร้างโอกาส ยิ่งประเทศเกิดวิกฤต ก็มักจะพบความสำเร็จในวิกฤตนั้นๆ ด้วย วันนี้ประชาชนอยู่บนโลกที่ซับซ้อนมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การตัดสินใจรูปแบบเดิมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาเคยเป็นบริษัทใหญ่รุ่งเรืองในการดำเนินธุรกิจ แต่ขณะนี้มีจีนเข้ามาขนาบข้าง เกิดบริษัทเล็กๆ มาเคียงข้าง จะเห็นได้ว่า บริษัทใหญ่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำเสมอไป
ทั้งนี้ ในยุคธุรกิจไม่มีแต้มต่อ เราสามารถมองเห็นโอกาสได้ ในภาพใหญ่ทุกการพัฒนาของโลกอยู่ในฐานสำคัญ เป็นจุดเริ่มต้นของทุนนิยม ตั้งแต่ยุค 1.0 จนปัจจุบันทุกอย่างในอดีตถูกเชื่อมโยงเป็นอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) ในทุกอนุภาคของอุตสาหกรรมใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าทุกยุคสามารถมีทั้งผู้แพ้ผู้ชนะในการดำเนินธุรกิจสลับปรับเปลี่ยนกันไป บางยุคบางคนอาจมีทั้งแพ้ ชนะ หากมองเห็นโอกาสแก้มือใหม่สามารถกลับมาชนะใหม่ได้ จึงไม่มีอะไรมาการันตีว่าจะแพ้หรือชนะตลอดไป
“ข้อดีปตท. คือใช้พลังงานทุกยุค ยิ่งอนาคตจะใช้พลังงานเยอะ แต่การใช้พลังงานต้องมีการเปลี่ยนแปลง ทุกการเติบโตแย่งทรัพยากร แย่งธรรมชาติ ดังนั้น การดำเนินธุรกิจแบบเดิมจึงต้องมีการปรับเปรียนโดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน ดังนั้นต้องมีเทคโนโลยีใหม่ พลังงานรูปแบบไฟฟ้า เกษตรสมัยใหม่ สมาร์ทกรีด และคาร์บอนแคปเจอร์ ที่ล้วนแต่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย”
ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัย เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน คนมีความรู้ด้านเทคโนโลยีและกลุ่มไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี จะทำอย่างไรให้ก้าวไปพร้อมกัน ก็เหมือนกับปตท.ที่ไม่ได้มีพื้นฐานความรู้ในทุกๆ ด้าน สิ่งสำคัญคือจะต้องทำให้องค์กรเติบโตไปข้างหน้า จึงมองว่าพันธมิตรเป็นสิ่งสำคัญ
ดังนั้น การจะเปลี่ยนจากจากยุค 3.0 ไปยุค 4.0 ให้ได้ โดยการเปลี่ยนจากการผลิตสินค้าในปริมาณมากๆ ให้มาเป็นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง ดังนั้น ถ้าจะต้องขับเคลื่อนประเทศหรือขับเคลื่อนบริษัทจะต้องมีวิธีคิดโดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพ และร่วมกับพันธมิตรช่วยขับเคลื่อนแข็งแกร่งไปพร้อมกัน
นายบุรณิน กล่าวว่า สำหรับธุรกิจที่เป็นตัวขับเคลื่อนและลดปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี โดยหลังประกาศร่วมทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนกันยายน 2564 ของปตท. และ ฟ็อกซ์คอนน์ จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS) โดยมีสัดส่วนการลงทุนของ ฮอริษอน พลัส ที่ร้อยละ 60 และ หลินยิ่ง ร้อยละ 40 ตามลำดับ ตามแผนความร่วมมือด้านการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย โดย ฮอริษอน พลัส มีเป้าหมายที่จะก่อตั้งโรงงานผลิต EV บนพื้นที่กว่า 350 ไร่ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย
ทั้งนี้ มีกำหนดจัดตั้งโรงงานแล้วเสร็จและสามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 4 ล้อ (รถยนต์นั่งส่วนบุคคล) และตั้งเป้าผลิตขายออกสู่ตลาดได้ภายในปี 2567 จำนวน 50,000 คัน/ปี ในระยะแรก และจะขยายกำลังการผลิตไปถึง 150,000 คัน/ปี ภายในปี 2573 เพื่อให้สอดรับกับความต้องการใช้ EV ทั้งภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียนที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“การใช้พลังงานทดแทนผลิตไฟและไฟที่ได้ไปเป็นรถอีวีมาเป็นระบบแบตเตอรี่ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ ถ้าเป็นรถอีวีชิ้นส่วนจะเล็กลงวัสดุต่างๆ ต้องเเบา แต่มีแมททีเรียลที่ทนทาน ขณะเดียวกันปตท.มีบริษัทในเครือคือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จะดูเรื่องแบตเตอรี่ทั้งที่เป็นอินโนเวชันเราเอง หรือไปร่วมทุนกับบริษัทอื่น เรียกได้ว่าครบวงจร”