ธุรกิจข้ามสายพันธุ์ ต่อยอดอนาคต "บิ๊กคอร์ป"
การเปลี่ยนแปลงทิศทางการทำธุรกิจครั้งสำคัญที่จะเป็นอนาคตของกลุ่มบิ๊กคอร์ป ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจให้บริษัทเอกชนสามารถรักษาระดับการเติบโตต่อไปได้
ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศจะดีขึ้นและทำให้บางประเทศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค โดยเฉพาะประเทศในยุโรป ซึ่งประเทศเดนมาร์กประกาศให้ประชาชนไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป รวมทั้งประเทศนอร์เวย์ประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามรวมกลุ่มกันเกิน 10 คน ในขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้น และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิน 10,000 คน มานานกว่า 1 สัปดาห์แล้ว แต่ดูเหมือนมาตรการผ่อนคลายกำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเพื่อเตรียมนำมาใช้
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจมีการปรับตัว โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในอัตราที่เร่งขึ้นเพื่อให้สอดรับกับยุค “นิวนอร์มอล” ซึ่งหลายบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อก้าวไปสู่เทคคอมพานีอยู่แล้ว และเมื่อสถานการณ์พอเหมาะจึงใช้โอกาสนี้เร่งเครื่องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อก้าวสู่ธุรกิจใหม่ทันที โดยสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เห็นภาพบริษัทขนาดใหญ่หลายรายก้าวเข้าสู่กลุ่มธุรกิจใหม่เพิ่มมากขึ้น
ที่ผ่านมา ได้เห็นธุรกิจพลังงานก้าวเข้าสู่ธุรกิจ 5จี โดยบริษัท กัลฟ์เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท อินทัชโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และหลังจากนั้น กัลฟ์ได้ร่วมมือกับกลุ่มไบแนนซ์ เพื่อศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่ตลาดซื้อขายคริปโทฯ ส่วนบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม แต่ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม
ในขณะที่กลุ่ม ปตท.ผู้ประกอบการธุรกิจพลังงานรายใหญ่ของประเทศไทย กำลังผันตัวเข้าสู่ธุรกิจอื่นนอกเหนือจาก “ออยล์แอนด์แก๊ซ” ที่มีความชำนาญมาตลอด 40 ปี โดยกำลังก้าวเข้าสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและประกอบอีวี การผลิตชิ้นส่วนอีวี การผลิตแบตเตอรี่ การลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า และธุรกิจบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งมีแผนเข้าสู่ธุรกิจสุขภาพ เช่น การผลิตยา การผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ
ส่วนบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่กำลังก้าวเข้าสู่ธุรกิจสีเขียวและธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางการทำธุรกิจครั้งสำคัญที่จะเป็นอนาคตของกลุ่มบิ๊กคอร์ป ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจให้บริษัทเอกชนสามารถรักษาระดับการเติบโตต่อไปได้ รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นฐานรายได้ระดับสูงที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในอนาคต