‘แอสเซทไฟว์ฯ’หุ้นอสังหาฯ จับลูกค้า‘นิชมาร์เก็ต’โต
แม้ภาพรวม“อสังหาฯ”ในปี2564 ตกอยู่ในภาวะชะลอตัว! ยังได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรการ“ปิดเมือง” (ล็อกดาวน์)เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทว่าในปี 2565 ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยมีแนวโน้ม “ผงกหัวขึ้น”
หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติในขั้นตอนสุดท้ายจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อย่าง บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพที่เป็นผู้นำใน“ตลาดนิชมาร์เก็ต”คาดจะสามารถกลับมา“ซื้อขาย” (เทรด)ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565เพื่อนำบริษัทสร้างการเติบโตก้าวกระโดดอีกครั้ง !
อนึ่ง บริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่นหรือ ADAMเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป หรือ A5 ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.2562 หลังจากเข้าซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท แอสเซท ไฟว์ โฮลดิ้ง จำกัด (AFH) โดยระค่าตอบแทนเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 752.84 ล้านบาทด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของ ADAM ไม่เกิน 752.84 ล้านหุ้น และยังคงถูกพักการซื้อขายในปัจจุบัน
“ศุภโชค ปัญจทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5ให้สัมภาษณ์ “หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สำหรับแผนธุรกิจ 2-3 ปี (2565-2567) บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าคอนโดมิเนียมยังเหลือขายอยู่ในตลาดอีกจำนวนมากโดยบริษัทจะไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ภายในระยะเวลา 2 ปีต่อจากนี้
ทั้งนี้ แผนธุรกิจในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรก! สะท้อนผ่านการเตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3,200 ล้านบาท แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 1 โครงการ 2,700 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายในช่วงปลายปีนี้ และอีก 2 โครงการ ใน จังหวัดอุดรธานี มูลค่ารวม 500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายโครงการช่วงกลางปีนี้ และในปี 2566 บริษัทจะมีการขยายโครงการแนวราบไปในจังหวัดอุบลราชธานีและมหาสารคาม
โดยทุกโครงการจะเน้นการพัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เป็นหลักเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่นิยมสร้างบ้านเอง ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นตลาดใหญ่มากมูลค่ารวมมากกว่า “2แสนล้านบาท”โดยยังมีความต้องการจำนวนมาก เห็นได้ว่าบริษัทสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ค่อนข้างดี ทั้งทำเลและรูปแบบของโครงการ ทำให้มียอดจองเข้ามาอย่างรวดเร็วปัจจุบัน A5 พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมแล้วรวม 7 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท
และบริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย และถือเป็นโครงการมาสเตอร์พีซของบริษัท ประกอบด้วยโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ล่าสุดอยู่ระหว่างเปิดขายเฟสสุดท้าย เป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ขนาด 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 492ตร.ว. ราคาเริ่มต้น 30-50 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะปิดการขายพร้อมรับรู้รายได้ในปีนี้
รวมถึงโครงการต้นสน วัน เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ สูง 29 ชั้น จำนวน 80 ยูนิต ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีชิดลม มูลค่าโครงการกว่า 2,800 ล้านบาท ล่าสุดมียอดขายแล้วกว่า 80% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ลูกค้าเข้าอยู่ได้ภายในต้นปี 2566
และมีโครงการไวโอ แคราย 1 คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมไวโอ แคราย 2 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท โครงการบ้านรชยา บ้านช้าง อุดรธานี มูลค่ากว่า 250 ล้านบาท โครงการบ้านรชยา บ้านช้าง 2 อุดรธานี มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท และโครงการนาดี จ.อุดรราชธานี มูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท
เขา บอกต่อว่า บริษัทมีแนวคิดพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เน้นความ “แตกต่าง” โดยให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทำเลที่จะพัฒนาโครงการอย่างลึกซึ้ง เพื่อนำมาพัฒนาโปรดักต์ที่แตกต่าง ภายใต้“กลยุทธ์”มุ่งเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม และหากนึกถึงโครงการที่โดดเด่น คุ้มค่า อยากให้นึกถึง A5
สำหรับ DNA ในการพัฒนาโครงการของ A5 ได้แก่ 1.ASSETต้องเป็น Good Asset ของลูกค้า ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต 2.LEGACYต้องพัฒนาโครงการให้มีคุณค่า ผสมการดีไซน์ที่สวยงามเหนือกาลเวลาเสมือนของสะสมที่มีคุณค่าและส่งต่อเป็นมรดกรุ่นสู่รุ่น3.FREEDOMต้องเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์อิสระการใช้ชีวิตและเปิดกว้างรองรับจินตนาการผู้อยู่อาศัย
4.FAMILYเพราะสังคมที่ดีเริ่มต้นที่บ้าน การพัฒนาโครงการจึงเน้นความปลอดภัย รวมถึงการออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน และ 5.ASPIRATIONบ้านคือสถานที่ใช้ชีวิตมากที่สุด จึงต้องเป็นสถานที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต
ท้ายสุด “ศุภโชค”บอกไว้ว่า ปี 2566 คาดว่าจะเป็นปีที่บริษัทมียอดรับรู้รายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการต้นสน วัน เรสซิเดนซ์