“เกิดน้อย”ระเบิดเวลาทุบเศรษฐกิจ “สศค.-สศช.”แนะปฏิรูปการคลัง-แรงงาน
สศค.แนะรัฐเร่งปฏิรูปตลาดแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้ หวั่นภาระการคลังอนาคต สศช.ชงเพิ่มผลิตภาพการผลิต ปรับโครงสร้างประกันสังคมรับจ้างงานแบบใหม่
สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่าปี 2568 จะเป็นปีแรกที่ไทยเข้าสู่สังคมผู้สังอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะมีผู้สูงอายุ 60 ปี หรือมากกว่าที่ 14.5 ล้านคน คิดเป็น 20.7% ของประชากรทั้งหมด ในขณะที่จำนวนประชากรเกิดใหม่ของไทยลดลงต่อเนื่องจนกระทั่งล่าสุดปี 2564 มีการเกิดเพียง 544,570 คน เป็นระดับต่ำที่สุด
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า อัตราการเกิดของประชากรไทยลดลงใกล้ระดับ 1 คือ อัตราการเกิดใกล้เคียงประชากรเสียชีวิตทำให้จำนวนประชากรไม่เพิ่ม ขณะที่ผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้นและมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้แรงงานในระบบเศรษฐกิจลดลง โดยการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลในอนาคตต้องให้ความสำคัญกับ 4 เรื่อง ได้แก่
1.การเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) โดยในภาคการผลิตต้องลงทุนเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมโลก เพื่อให้เกิดการจ้างงานและทำให้รายงานมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะดูแลประชากรวัยพึ่งพิงทั้งวัยเด็กและสูงอายุ
ทั้งนี้หากเพิ่มระดับการลงทุนเพิ่มขึ้นให้มากกว่า 30% ของจีดีพี และการเพิ่มการใช้เงินในการวิจัยและพัฒนาทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน โดยให้ได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 2% ของจีดีพีจะทำให้ไทยมีโอกาสเพิ่มผลิตภาพการผลิตแรงงานได้เพิ่มขึ้น
2.ให้ความสำคัญกับนโยบายการดึงแรงงานที่มีศักยภาพจากภายนอกประเทศ โดยปัจจุบันมีมาตรการการให้วีซ่าระยะยาว (LTR) กับแรงงานที่มีศักยภาพ และรายได้สูงเข้ามาทำงานในประเทศไทยควบคู่กับการปรับลดอุปสรรค
3.การปรับโครงสร้างในประเทศเพื่อให้คนรุ่นใหม่เป็นผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีกลไกสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยงานใหม่ในอนาคตต้องมองการปรับระบบการดูแลแรงงานในอนาคต เช่น ระบบประกันสังคมที่กองทุนมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น และจำนวนแรงงานที่จะออมน้อยลง ดังนั้นกองทุนประกันสังคมต้องปรับระบบการออมให้สอดคล้องกลุ่มอาชีพใหม่ เช่น ฟรีแลนท์ งานดิจิทัล หรืองานที่มีลักษณะการจ้างระยะสั้นหรืองานที่มีรายได้ประจำที่จ่ายเป็นรายเดือน
4.ให้ความสำคัญกับเรื่องของการขยายระยะเวลาเกษียณอายุของข้าราชการ โดยกำหนดระยะเวลาที่จะมีการบังคับใช้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้แรงงานที่เกษียณอายุสามารถเป็นกำลังสำคัญในระบบเศรษฐกิจได้อีกส่วนหนึ่ง
นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ไทยกำลังเผชิญปรากฏการณ์เด็กเกิดใหม่ลดลง ในขณะที่ประชากรมีแนวโน้มอายุยืนขึ้น เพราะเทคโนโลยีการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น
ทั้งนี้ อีก 18 ปีข้างหน้า หรือปี 2583 ประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นเร็ว โดยเพิ่มจาก 12.2 ล้านคนในปี 2564 เป็น 20.4 ล้านคนในปี 2583 ในขณะที่ประชากรวัยทำงาน (อายุ 15-59 ปี) ลดลงจาก 43 ล้านคน เหลือ 36 ล้านคน ส่งผลให้สัดส่วนประชากรวัยแรงงานต่อประชากรลดลงจาก 3.5 คนต่อ 1 คน เหลือเพียง 0.6 คนต่อ 1 คน ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานเพิ่มจาก 28.4 คนต่อวัยแรงงาน 100 คน ในปี 2564 เป็น 56.2 คนต่อวัยแรงงาน 100 คน ในปี 2583
รวมทั้งปี 2564 เป็นครั้งแรกที่ประชากรเกิดใหม่ต่ำกว่า 6 แสนคน โดยอยู่ที่ 5.4 แสนคน น้อยกว่าประชากรที่เสียชีวิตที่มี 5.6 แสนคน ซึ่งจะทำให้ประชากรไทยมีแนวโน้มลดลงหากประชากรเกิดใหม่ไม่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่จำนวนประชากรสูงอายุกำลังเพิ่มสูงขึ้นเร่งให้โครงสร้างประชากรไทยเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุเร็วขึ้น
สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรจะกระทบเศรษฐกิจ 4 ด้าน คือ
1.ผลิตภาพรวมของประเทศ (Aggregate Productivity) ลดลงจากจำนวนแรงงานและสัดส่วนคนทำงานลดลง เพราะแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญ ดังนั้นการลดลงของแรงงานอาจทำให้ผลิตภาพรวมลดลงด้วย และอาจส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่ค่าแรงที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อหากไทยไม่ปรับใช้เทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานที่หายไป
2.อุปสงค์ในประเทศเปลี่ยนไป โดยสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุจะต้องการมากขึ้น เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพ บริการทางการแพทย์ ขณะที่สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสังคมและการทำงานจะต้องการลดลง รวมทั้งหากผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีรายได้ไม่พอต่อการยังชีพหรือยากจน จะกระทบอุปสงค์ในประเทศที่อาจชะลอในช่วงต่อไปได้
3.ภาระการคลังของประเทศสูงขึ้น เพราะแหล่งรายได้หลักจากแรงงานวัยทำงานน้อยลง ขณะเดียวกันผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทำให้ภาครัฐมีค่าใช้จ่ายสาธารณสุขและสวัสดิการมากขึ้น ซึ่งหากไม่แก้ไขจะทำให้ขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะสูงขึ้น เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณ
4.การออมและการลงทุนในประเทศจะลดลง สถานการณ์สังคมผู้สูงอายุอาจกระทบต่อการออมและการลงทุนในประเทศ เพราะประชากรส่วนใหญ่ที่เกษียณมักใช้จ่ายจากเงินออม ซึ่งอาจส่งผลให้ภาพรวมการออมภายในประเทศลดลง
สำหรับแนวทางการแก้ไขและบรรเทาสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับสังคมผู้สูงอายุดังกล่าว มีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ ดังนี้
1.เร่งปฏิรูปตลาดแรงงานเพื่อชดเชยจำนวนแรงงานมีแนวโน้มลดลง ทั้งการยกระดับทักษะแรงงานเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตและเพิ่มการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานหญิงในตลาดแรงงานให้มากขึ้นเพื่อชดเชยแรงงานที่หายไป
นอกจากนี้การสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชากรสูงวัยที่เกษียณไปแล้วทำงานต่อ และการจูงใจให้แรงงานต่างชาติที่มีทักษะเข้ามาทำงานในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอีกทางเลือกที่หน่วยงานภาครัฐอาจพิจารณาผลักดันให้เกิดขึ้นได้
2.เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐและการขยายฐานภาษีประเภทใหม่รองรับภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลตรวจสอบและอุดรูดรั่วทางภาษี และการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ เช่น ภาษีเงินได้ธุรกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นภาษีใหม่ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ รวมถึงภาษีสิ่งแวดล้อมที่เก็บจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ที่กระทบสิ่งแวดล้อม เช่น เหมืองขุดเงินคริปโตเคอเรนซี่ และเพิ่มอัตราภาษีบางประเภทเพื่อชดเชยภาษีที่หายไป อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
3.สร้างระบบการออมและหลักประกันวัยเกษียณที่ครอบคลุมและเพียงพอต่อแรงงานทุกประเภททั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ รวมถึงแรงงานแพลตฟอร์มที่เป็นแรงงานประเภทใหม่ โดยผ่านการสนับสนุนการออมระยะยาว และแรงงานควรออมตามสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นตามอายุการทำงาน เพื่อให้แรงงานทุกกลุ่มมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพในยามที่ไม่ทำงาน
ทั้งนี้ สำหรับกรณีของแรงงานแพลตฟอร์มที่เป็นแรงงานประเภทใหม่และส่วนใหญ่มีรายได้สูงกว่าแรงงานนอกระบบ ซึ่งไทยอาจกำหนดให้ออมภาคบังคับ โดยหักเป็นร้อยละของรายได้แต่ละเดือนเข้ากองทุนประกันสังคมในกรณีที่เดือนนั้นมีรายได้ ขณะที่เดือนใดไม่มีรายได้หรือมีรายได้ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดจะไม่โดนหัก