"จีน"ครองแชมป์ซื้อคอนโดสูงสุด4ปีซ้อน

"จีน"ครองแชมป์ซื้อคอนโดสูงสุด4ปีซ้อน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯเผยยอดโอนคอนโดต่างชาติปี64มูลค่า3.9 หมื่นล้าน ลูกค้าจีน ยังครองแชมป์ผู้ซื้ออันดับหนึ่งติดต่อกัน4ปีซ้อน ระบุนิยมซื้อคอนโดกรุงเทพมหานคร รองลงมาเป็นชลบุรี สมุทรปราการ ส่วนรัสเซีย อังกฤษอเมริกาและเยอรมันนิยมซื้อคอนโด ชลบุรี

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า วิกฤติการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ตั้งแต่ปี2563 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดอาคารชุดหรือคอนโดที่ขายให้ชาวต่างชาติ จากมาตรการล็อกดาวน์ไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ มีต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์คอนโดเฉลี่ยกว่า 8,100 หน่วย มูลค่าการโอนเฉลี่ย 39,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 9% ของการโอนคอนโดทั้งหมด ยังคงต่ำกว่าสัดส่วนค่าเฉลี่ย 2 ปี (2561-2562) ที่มีประมาณ10%

 ขณะที่มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดคนต่างชาติ มีมูลค่า  39,610  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563  ประมาณ 5% และมีสัดส่วน15.6%  ยังคงต่ำกว่าสัดส่วนค่าเฉลี่ย 2 ปี (2561-2562) ที่มีประมาณ 15.9%  

 

โดยในปี 2564 ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญชาติ "จีน" มีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด  จำนวน 4,867 หน่วย คิดเป็น59 %ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติ จากตัวเลขย้อนหลังไป4ปี ตั้งแต่ปี2561-2564 ผู้ซื้อจากประเทศ “จีน” มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นอันดับหนึ่งประมาณ 60% รองลงมาตามลำดับคือ “รัสเซีย” “สหราชอาณาจักร” “สหรัฐฯ” และ “เยอรมนี” ทำเลหลักที่ชาวต่างชาตินิยมซื้อคือ กรุงเทพฯ, ชลบุรี, ภูเก็ต และหัวหิน-ชะอำ

 ในขณะที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 22,874 ล้านบาท คิดเป็น 58%  ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเป็นผู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญชาติ "จีน"รองลงมาเป็นสัญชาติรัสเซียมีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  306 หน่วย คิดเป็น 4 %ของการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติ และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 899 ล้านบาท คิดเป็น 3% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติ

อันดับสามเป็นสัญชาติ สหราชอาณาจักร มีจำนวน 280 หน่วย คิดเป็น 3 %ของการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติ และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 1,252 ล้านบาท คิดเป็น3% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติ ตามลำดับ  สหรัฐอเมริกา เป็นอันดับสี่  มีจำนวน 279 หน่วยและมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 1,299 ล้านบาท ส่วนอันดับห้า คือ เยอรมัน  มีจำนวน 234 หน่วยและมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 996 ล้านบาท