"ฟิทช์" หั่นเรทติ้ง DTAC เหลือ A+ คาดหนี้ต่อ EBITDA พุ่งแม้ไม่ควบรวมกิจการ
"ฟิทช์ เรทติ้งส์" ปรับลดอันดับเครดิตของ DTAC เหลือ A+ เหตุ คาดการณ์หนี้สินต่อ EBITDA จะเพิ่มขึ้นสู่ 2.5-2.6 เท่า แม้จะไม่มีการควบรวมกิจการกับ TRUE
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เป็น ‘A+(tha)’ จาก ‘AA(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) เป็น ‘F1(tha)’ จาก ‘F1+(tha)’
ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ได้นำอันดับเครดิตทั้งหมดของ DTAC เข้าสู่เครดิตพินิจเป็นลบ (Rating Watch Negative) หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ให้บริษัทเข้าทําสัญญาควบรวมกิจการกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ เครือซีพี
การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt/EBITDA) ของบริษัทฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 2.5-2.6 เท่า แม้ว่าจะไม่มีการควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต
การปรับลดอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่ฟิทช์คิดว่าอันดับเครดิต ณ ปัจจุบันของ DTAC จะขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของบริษัทฯ เท่านั้น โดยหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Criteria) ฟิทช์จะพิจารณาถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับบริษัทแม่ที่มีความแข็งแกร่งกว่าต่อบริษัทลูกภายใต้การควบคุมที่อ่อนแอกว่า
และเนื่องจากการที่บริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ Telenor มีความตั้งใจในการควบรวมกิจการครั้งนี้ ทำให้ฟิทช์เชื่อว่าการจัดอันดับเครดิตของ DTAC ให้สูงกว่า Standalone Credit Profile หนึ่งอันดับ อาจไม่เหมาะสมอีกต่อไป โดยก่อนหน้านี้ ฟิทช์ได้ให้อันดับเครดิตเพิ่มขึ้นจาก Standalone Credit Profile หนึ่งอันดับเพื่อสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจากความสัมพันธ์ด้านกลยุทธ์ในระดับปานกลางกับ Telenor ซึ่งมีอำนาจควบคุม DTAC
เครดิตพินิจเป็นลบสะท้อนมุมมองของฟิทช์ที่ว่า อันดับเครดิตของบริษัทที่จะมีการจัดตั้งใหม่ (NewCo) น่าจะอ่อนแอกว่าอันดับเครดิตของ DTAC ก่อนที่จะมีการควบรวมกิจการ โดยฟิทช์มองว่าปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิต จากสถานะทางการตลาด และการกระจายตัวของการให้บริการที่ดีขึ้น อาจไม่เพียงพอในการชดเชยสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงจากอัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของ NewCo จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาผลกระทบจากการควบรวมกิจการ เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งรวมถึงนโยบายทางการเงินหลังการควบรวมกิจการด้วย ซึ่งถ้ามีการพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต ก็ไม่น่าจะเกินหนึ่งอันดับ
การพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจอาจใช้เวลานานกว่า 6 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับการควบรวมกิจการจะแล้วเสร็จเมื่อใด ซึ่งต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น และหน่วยงานกำกับดูแล