ผู้ค้าออนไลน์รายย่อยเตรียมเฮ! ขยายการทำธุรกรรมบัญชีเพย์พาล จนกว่าจัดทำระบบ KYC เสร็จ
ผู้ค้าออนไลน์รายย่อยเตรียมเฮ! หลัง ธปท.- กมธ. การเงินการคลังฯ หารือให้ขยายการทำธุรกรรมบัญชีเพย์พาลออกไปจนกว่าเพย์พาลจะจัดทำระบบ KYC แล้วเสร็จ
การประชุมของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้เป็นการนำเรื่องกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของบริษัทเพย์พาล ประเทศไทย จำกัด ปรับเปลี่ยนนโยบายการโอนเงินข้ามประเทศให้กับผู้ใช้งานทั่วไป ผ่านระบบเพย์พาล ซึ่งจะมีผลในวันที่ 7 มี.ค.นี้ โดยกำหนดให้บุคคลทั่วไปต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงจะสามารถดำเนินการรับโอนเงินได้นี้เข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งการประชุมในวันนี้เพื่อหาทางออกให้กับกลุ่มผู้ประกอบการฯ โดยมีตัวแทนจากการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ตัวแทนเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. และตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการเข้าร่วมประชุม
จุดเริ่มต้นของวาระการประชุมในวันนี้ เกิดจากกลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้บริการเพย์พาลเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ให้ช่วยหาแนวทางช่วยเหลือ หลังได้รับผลกระทบ
นายธีรภัทร เจริญสุข ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการฯ ชี้แจงกับที่ประชุมว่า เขาได้รับความเดือดร้อนในเรื่องการเปลี่ยนแปลงนโนบายของเพย์พาล หลังจากเพย์พาลจะระงับการใช้งานบัญชีบุคคลธรรมดา ในวันที่ 7 มี.ค. นี้ ซึ่งหลังจากติดต่อ call center เพื่อจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวมถึงอุปสรรคหลายประการ โดยเฉพาะการจดทะเบียนเยาวชนซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ การบังคับทำป้ายหรือเวปไซต์ของตัวเอง จึงทำให้สูญเสียโอกาสทำมาหากิน
ตัวแทนการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้รับทราบปัญหาความเดือดร้อน ผลกระทบต่อการค้าขายของกลุ่มฟรีแลนซ์แล้ว แต่เนื่องจาก Paypal ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบของประเทศสิงคโปร์ เมื่อให้บริการคนไทย ก็ต้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของ ธปท. เพื่อคุ้มครอง และดูแลผู้ใช้งานคนไทย ซึ่งการพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้บริการ Paypal หรือที่เรียกว่า KYC นั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินการเพียงส่วนหนึ่งในการป้องกันการฟอกเงินตามกฎหมายของ ป.ป.ง. ทั้งนี้ ธปท. และ ป.ป.ง. ขอเพียงแค่ผู้ใช้งานสามารถยืนยันพิสูจน์ตัวตนได้ ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์ตัวตนแบบส่วนบุคคล หรือในนามนิติบุคคลก็สามารถกระทำได้เหมือนกัน ดังนั้นในประกาศของ Paypal (ประเทศไทย) ที่มีการยืนยันให้ผู้ใช้งานบัญชี Paypal เพื่อทำธุรกรรมรับโอนเงินจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบบัญชีไปเป็นระบบนิติบุคคลเพื่อทำระบบยืนยันตัวตนแบบ KYB นั้นจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ ธปท. ได้ร่วมหารือกับผู้แทน Paypal (ประเทศไทย) เพื่อเร่งหาข้อยุติถึงผลกระทบที่เกิดกับประชาชนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Paypal โดยขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนนำเสนอทางออกให้ผู้บริหาร ธปท. ลงนามเพื่อสามารถดำเนินการแก้ปัญหาและเยียวยาประชาชนต่อไปก่อนที่ระบบบัญชี Paypal จะระงับการให้บริการในวันที่ 7 มีนาคมนี้
ด้าน น.ส.วทันยา เปิดเผยว่า “วันนี้ได้เชิญตัวแทน ธปท. สมาคมผู้ประกอบการออนไลน์รายย่อย ป.ป.ง. และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มาร่วมหารือถึงทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนแบบ KYB ของ Paypal ซึ่งวันนี้ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นแล้วว่า มาตรฐานการยืนยันตัวตนตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของ ป.ป.ง. นั้น สามารถใช้การยืนยันแบบบุคคลธรรมดา โดยขอมีเพียงแค่บัตรประจำตัวประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตก็สามารถยืนยันตัวตนตามที่กฎหมายต้องการได้แล้ว หรือหากกรณีต้องการยืนยันในรูปแบบการดำเนินการธุรกิจ ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้าก็ให้คำแนะนำว่า การจดทะเบียนการค้ากับกระทรวงพาณิชย์ก็เพียงพอแล้วสำหรับการยืนยันตัวตนแบบ KYB ตามเงื่อนไขของ ป.ป.ง. ดังนั้นประชาชนไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแบบนิติบุคคลซึ่งจะมีต้นทุนในการทำธุรกรรมและดำเนินงานที่สูงกว่ามาก ทั้งนี้ ธปท. ได้มีแนวทางให้ Paypal ประเทศไทยขยายระยะเวลาการใช้งานบัญชีแบบที่สามารถรับโอนเงินได้ออกไปจนกว่าทาง Paypal จะดำเนินการจัดทำระบบยืนยันตัวตนแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน และ Paypal จะต้องดำเนินการยืนยันตัวตนลูกค้าในระบบของ Paypalให้เสร็จสิ้นภายใน 3 เดือนหลังที่จัดทำระบบเสร็จ ในส่วนของความเสียหายของประชาชนที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดพลาดของ Paypal ทาง ธปท. ก็ได้หารือกับ Paypalให้หาวิธีการเยียวยาประชาชนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น”