"ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" รอจังหวะโรดโชว์ต่างประเทศ เจาะดีมานด์เรสซิเดนส์
นับถอยหลังอีก 2 ปี โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี ปักหมุดหมายให้เป็นแลนด์มาร์กระดับโลกแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด Here for Bangkok
จากการร่วมทุนระหว่าง “กลุ่มดุสิตธานี” และ “เซ็นทรัลพัฒนา” ภายใต้บริษัท วิมานสุริยา จำกัด จะเริ่มเผยโฉม ทยอยเปิดทีละองค์ประกอบ และเห็นครบทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย เสร็จสมบูรณ์ภายในกลางปี 2568
ละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้บริหารโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ฉายภาพว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่มีอะไรทำให้สะดุดอีก! หลังโควิด-19 ระบาดในช่วงที่ผ่านมาจนกระทบต่อแคมป์คนงานก่อสร้าง จะได้ฤกษ์ทยอยเปิดเฟสแรกของโครงการฯในไตรมาส 1 ปี 2567 ด้วยจิ๊กซอว์ชิ้นแรก “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ” โฉมใหม่ที่ยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาคารเดิม ความสูง 39 ชั้น จำนวนห้องพัก 259 ห้อง เลื่อนจากเดิมวางกำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2566
ตามมาด้วยเฟสที่ 2 ศูนย์การค้า “เซ็นทรัล พาร์ค” บนอาคารสูง 7 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 80,000 ตารางเมตร โดยหนึ่งในไฮไลต์คือสวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้า (Roof Park) ขนาด 7 ไร่ ออกแบบให้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางโครงการฯ กลมกลืนไปกับสวนลุมพินี รวมถึงอาคารสำนักงานเกรดเอ “เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส” สูง 40 ชั้น บนพื้นที่รวม 90,000 ตารางเมตร จะแล้วเสร็จกลางปี 2567
เฟสที่ 3 โครงการที่พักอาศัยรูปแบบ แบรนเด็ด เรสซิเดนส์ ระดับ “อัลตร้า ลักชัวรี” บนอาคารสูง 69 ชั้น มีทั้งหมด 406 ยูนิต ขายแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) คาดแล้วเสร็จกลางปี 2568 เนื่องจากเป็นอาคารสูงสุดในโครงการฯ ต้องใช้เวลาก่อสร้างนานกว่าองค์ประกอบอื่น ด้วยความสูงถึง 299 เมตร
ประกอบด้วย “ดุสิต เรสซิเดนเซส” จำนวน 160 ยูนิต วางแนวคิด คลาสสิค ลักชัวรี ตั้งเป้าเจาะกลุ่มครอบครัวใหญ่ ด้วยรูปแบบห้องพักขนาด 2-4 ห้องนอน และเพนท์เฮาส์ในรูปแบบชั้นเดียว (ซิมเพล็กซ์) ชั้นเดียวแบบเพดานสูง และแบบสองชั้น (ดูเพล็กซ์) ขนาดพื้นที่ 120-750 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2 ห้องนอนอยู่ที่ 40 ล้านบาท เฉพาะ “เพนท์เฮาส์” มีทั้งหมด 7 ยูนิต ตรงชั้น 69 หรือชั้นบนสุดมี 1 ยูนิต ขนาดใหญ่ที่สุด 750 ตารางเมตร อีก 3 ชั้นถัดลงมา มีชั้นละ 2 ยูนิต ปัจจุบันเฉพาะเพนท์เฮาส์ขายไปแล้ว 2 ยูนิต ขนาดกว่า 400 ตารางเมตร
และ “ดุสิต พาร์คไซด์” จำนวน 246 ยูนิต แนวคิด ไลฟ์สไตล์ ลักชัวรี เจาะกลุ่ม Young Professional ขนาดพื้นที่ 55-115 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นสำหรับ 1 ห้องนอนอยู่ที่ 16 ล้านบาท และ 2 ห้องนอน เริ่มต้นที่ 22 ล้านบาท
“ภาพรวมการลงทุนของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนมูลค่าของ 4 อาคาร เป็นโรงแรม 15% เรสซิเดนส์ 25% อาคารสำนักงาน 20% ศูนย์การค้า 30% และที่เหลืออีก 10% เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น ที่จอดรถ และรูฟพาร์ค”
เมื่อโฟกัสเฉพาะโครงการที่พักอาศัย ละเอียด เล่าเพิ่มเติมว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้กลุ่มนักลงทุนหลายกลุ่มหายไปจากตลาด โดยเฉพาะกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนนำไปปล่อยเช่าต่อ บริษัทฯมองว่ากำลังซื้อของนักลงทุนกลุ่มนี้ยังมีอยู่ แต่คงไม่ได้กลับมาในระยะเวลาอันใกล้ การให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่ “อยู่อาศัยจริง” จึงเป็น “คำตอบที่ดีที่สุด” ในช่วงเวลานี้! โดยเฉพาะโครงการระดับอัลตร้าลักชัวรีที่ลูกค้าต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เปรียบเทียบกับหลายๆ โครงการในตลาด
หลังจากบริษัทฯเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยดังกล่าวเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันมียอดขาย 40% ของพื้นที่ขายแล้ว แม้จะเจอการระบาดของโควิด-19 เกือบ 2 ปี แต่ได้รับการตอบรับที่ดีจาก “ลูกค้าชาวไทย” ที่ยังมี “กำลังซื้อสูง” (High-Net-Worth Individual : HNWI) และมองเห็นศักยภาพของโครงการที่ตอบโจทย์รอบด้าน
โดยเฉพาะเรื่อง “โลเกชั่น” หัวมุมถนนสีลมตัดพระราม 4 ซึ่งเป็นทำเลติดอันดับราคาที่ดินสูงที่สุดในกรุงเทพฯ รวมถึงบริการที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ “ดุสิตธานี” ซึ่งปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีได้ขยายธุรกิจโรงแรมรวม 47 แห่ง ใน 16 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีพันธมิตร “เซ็นทรัลพัฒนา” ที่จะร่วมมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกบ้านด้วย
“ปัจจุบันราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 340,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นราคาสำหรับระยะเวลาการเช่ารวม 58 ปี (ภายใต้การเช่า 2 ช่วง) ถือว่าไม่แพงมากเมื่อเทียบกับแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ผู้ซื้อสามารถจัดสรรเงินไปลงทุนเรื่องอื่นๆ ได้”
ทั้งนี้บริษัทฯไม่ได้ปรับราคาขายจากช่วงเปิดตัวนัก เพราะต้องการให้คนมาซื้อในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยช่องว่างราคาระหว่างดุสิต เรสซิเดนเซส กับ ดุสิต พาร์คไซด์ ไม่ได้ต่างกันมาก ความท้าทายด้านการขายคือทำให้ลูกค้าคนไทยเข้าใจรูปแบบที่พักอาศัยแบบลีสโฮลด์มากขึ้น เพราะด้วยโลเกชั่นของโครงการฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้เป็นแบบลีสโฮลด์ก็ตาม
ถ้ากระแสตอบรับดีต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนปรับราคาขายเพิ่ม และตั้งเป้าเพิ่มยอดขายให้ได้ 60-70% ของพื้นที่ขายในสิ้นปีนี้ หลังจากมีการ “เปิดประเทศ” บางประเทศเริ่มผ่อนคลายการเดินทางมากขึ้น โดยบริษัทฯเตรียมจัดโรดโชว์ในต่างประเทศเพื่อดึงผู้ซื้อชาวต่างชาติ ให้เป็นไปตามเป้าหมายใหม่ มีลูกค้าต่างชาติที่สัดส่วน 35% และลูกค้าชาวไทย 65% จากเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายมีลูกค้าชาวต่างชาติ 40% และชาวไทย 60%
ประเทศและเมืองเป้าหมายที่มองไว้ มีสิงคโปร์ และฮ่องกง ที่ชื่นชอบเมืองไทย มาเที่ยวไทยระยะสั้นบ่อยๆ และอยากอยู่ในเมืองไทยเหมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 ขณะที่จีนก็เป็นอีกตลาดที่สนใจไปโรดโชว์ แต่ต้องรอให้ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการเดินทางก่อน เพราะเมื่อเดินทางเข้าจีนและฮ่องกงยังต้องเข้ากักตัวสูงสุด 21 วัน
ส่วนประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง เช่น นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบียที่เพิ่งฟื้นความสัมพันธ์กับไทยในรอบ 30 ปี ถือเป็นตลาดใหม่ที่เรามอง ความท้าทายอยู่ตรงที่ต้องเปลี่ยนการรับรู้เรื่องการซื้อและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย ชี้ให้เห็นว่า “เอเชียคืออนาคต” เนื่องจากการรับรู้ดั้งเดิมของชาวตะวันออกกลาง เมื่อมีเงิน จะนิยมนำไปลงทุนซื้ออสังหาฯในยุโรป เช่น ที่ลอนดอน และปารีส มากกว่า โดยบริษัทฯจะอาศัยชื่อเสียงด้านการทำโรงแรมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งปัจจุบันให้บริการโรงแรม 5 แห่งในตะวันออกกลางเป็นใบเบิกทาง
“เราหวังว่าวิกฤติโควิด-19 จะคลี่คลายและจบลงภายในปีนี้ แต่ในห้วงเวลานี้กลับมีสถานการณ์ใหม่เข้ามาท้าทาย นั่นคือวิกฤติรัสเซียและยูเครนกับปัจจัยเงินเฟ้อ แต่ด้วยโครงการที่พักอาศัยของเราเป็นโปรดักต์ระดับอัลตร้าลักชัวรี ลูกค้า HNWI ถือเป็นกลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบช้ากว่ากลุ่มอื่นๆ”