IRC กำไร 1Q65 ถูกกดดันจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
รายงานกำไร 1Q65 ที่ 27 ลบ. หดตัว 7%QoQ และหดตัว 78%YoY จากต้นทุนที่ปรับตัวขึ้น : รายงานกำไร 1Q65 (ต.ค.-ธ.ค. 64) ที่ 27 ลบ. ต่ำกว่าที่เราประมาณการไว้ แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นสู่ 1.41 พันลบ. เติบโต 12%QoQ และเติบโต 6%YoY
เนื่องจากยอดการผลิตรถยนต์ปรับตัวขึ้น 29%QoQ และเพิ่มขึ้น 2%YoY สู่ 473,759 คัน ขณะที่ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์ทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น 83%YoY สู่ 501,160 คัน เนื่องจากไม่มีการปิดโรงงานการผลิตเหมือนในไตรมาส 4/64 (ก.ค.-ก.ย.64) ที่ผ่านมา ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวในระดับต่ำที่ 8.6% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ Synthetic Rubber Carbon Black และ Nylon ปรับตัวขึ้น 2.0%QoQ 1.4%QoQ และ 3.2%QoQ ตามลำดับตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ด้านอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับตัวขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าสู่ 6.9% ทั้งนี้ กำไร 1Q65 คิดเป็น 9% ของประมาณการเดิมที่ 307 ลบ.
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มยอดการผลิตรถยนต์ปี 65 ขึ้น 7% สู่ 1.80 ล้านคัน : ยอดการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ปี 64 อยู่ที่ 1.69 ล้านคัน และ 1.78 ล้านคันเติบโต 18.1% และ 10.2% ตามลำดับ หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในไทยเริ่มคลี่คลาย โดยสภาอุตสาหกรรมฯ คาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ปี 65 จะเพิ่มขึ้น 7%จากปีก่อนสู่ 1.80 ล้านคัน หลังภาครัฐได้ดำเนินการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร 76.3% หรือคิดเป็น 53.2 ล้านคนแล้ว อีกทั้งการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่ 4Q64 (ต.ค.-ธ.ค. 64) เป็นปัจจัยหนุนต่ออุปสงค์ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศให้ฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 65
- ปรับลดคาดการณ์กำไรปี 65 ลง 20% จาก 307 สู่ 247 ลบ. จากการปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น : ฝ่ายวิจัยคงคาดการณ์รายได้รวมปี 65 ราว 5.65 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปี 64 ตามคาดการณ์การผลิตรถยนต์ของสภาอุตสาหกรรม ฯ อย่างไรก็ตามเราปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลงจาก 13.6% สู่ 11.5% อ่อนตัวลงจากปี 64 (GPM ปี 64 อยู่ที่ 13.6% และ GPM 1Q65 อยู่ที่ 8.6%) เนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักทั้ง Synthetic Rubber และ Carbon Black ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปทานที่ตึงตัวจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน นอกจากนี้ค่าขนส่งทางเรือที่ปรับตัวขึ้น และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้นเป็นปัจจัยกดดันต่อต้นทุนการผลิตเพิ่มเติม เราคาดว่า 1H65 (ต.ค.64-มี.ค.65) อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังถูกกดดันจากราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งที่ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นใน 2H65 (เม.ย.65-ก.ย.65) หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทั่วโลกคลี่คลาย ส่งผลให้ปรับลดประมาณกำไรปี 65 ลง 20% จาก 307 ลบ.สู่ 247 ลบ. หดตัว 27%YoY
- คงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมปรับลดราคาเหมาะสมปี 65 เหลือ 17.30 บาท : เราประเมินมูลค่าด้วยวิธี Price to Earnings Ratio (P/E Ratio) โดยอิงค่าเฉลี่ย P/E Ratio ย้อนหลัง 3 ปีที่ 13.5 เท่า โดยปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 65 จาก 1.53 บาทต่อหุ้นเหลือ 1.28 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมใหม่ลดลงจาก 18.40 บาทต่อหุ้นเหลือ 17.30 บาทต่อหุ้น โดยคาดหวัง Yield ที่ 4.9% ทั้งนี้ IRC มีจุดเด่นจาก 1) D/E ต่ำเพียง 0.4 เท่า ณ ธ.ค.64 2) มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ (เงินสดราว 1.5 พันลบ. ณ ธ.ค.64) และ3) ราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ด้วยราคาเหมาะสมที่ประเมินได้ใกล้เคียงราคาปิดล่าสุดเราจึงคงคำแนะนำ “ถือ”
ปัจจัยเสี่ยง
i) อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ในปี 2565
ii) ราคาน้ำมันดิบและราคายางพาราปรับตัวขึ้น