พาณิชย์ ย้ำการค้าต่างประเทศมุ่งสู่ การมีส่วนร่วม Climate Change
พาณิชย์ เผย ทุกเวทีการค้าต่างประเทศ นำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม คุมเข้มนำเข้าสินค้า แนะ ผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวในการสัมมนา FAST TRACK to the NET ZERO ที่น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ จัดขึ้น ในหัวข้อเวทีการค้าระหว่างประเทศกับประเด็น Climate Changeว่า ขณะนี้ทุกเวทีการค้าระหว่างประเทศแตะประเด็นClimate Change หรือพูดง่ายๆถนนทุกสายมุ่งไปสู่การมีส่วนร่วมในการดูแลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์หรือClimate Change โดยองค์การการค้าโลก (WTO )มีข้อยกเว้นให้สมาชิกจำกัดการน่าเข้าเพื่อสิ่งแวดล้อมได้ แต่ต้องสมเหตุสมผล มีคณะกรรมการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อม (CTE)
ขณะที่เอเปกให้จัดทำบัญชีรายการสินค้าสิ่งแวดล้อม เพื่อลดภาษีนำเข้าให้เหลือไม่เกิน 5% ในสินค้า 54 รายการและอยู่ระหว่างจัดท่าแนวทางส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่บริการ ด้านเวทีการเจรจาการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ พบว่า ในการเจรจา เอฟทีเอ ยุคใหม่มักมีข้อบทเรื่องสิ่งแวดล้อม Climate Change นอกจากนี้ในเวทีของอาเซียน ใน AEC Blueprint 2025 ได้กำหนดให้เรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนเป็นกลยุทธ์การเติบโตของอาเซียน รับรองกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับ AEC (Framework for Circular Economy for the AEC)
ด้านเวทีสหประชาชาติก็มีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) มีหลักการที่ระบุถึงผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ไม่ควรเลือกปฏิบัติหรือกีดกันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และจัดทำพิธีสารเกียวโตกำหนดเป้าหมายก๊าซเรือนกระจก ความตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายร่วมกันของโลก คือการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศา และมุ่งพยายามควบคุมให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา ขณะที่ที่ประชุมCOP 26 ก็กำหนดกติกาเกี่ยวกับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ
สำหรับ มาตรการสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศที่นำมาใช้ นั้น มีมาตรการ 827 มาตรการ โดยใน 1 ใน 3 สิ่งแวดล้อมเป็นมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะสหภาพยุโรปหรืออียูได้ประกาศมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่เกี่ยวกับการสินค้า จะมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.2566 โดยในช่วง 3 ปีแรก ถือเป็นระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้าต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ครอบคลุมสินค้า ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม และในอนาคตก็อาจจะขยายรายการสินค้าที่ครอบคลุมอีก
สินค้าของไทยที่เกี่ยวข้องกับมาตรการ CBAM โดยในปี2564 ไทยส่งออกสินค้าตามรายการ CBAM ไปยังอียู 186.61 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 3.52%ของการส่งออกสู่โลก อย่างไรก็ตามหลายประเทศมองว่ามาตรการดังกล่าวขัดกับหลักการและกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศภายในดับบลิวทีโอ และมีวัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจมากว่าสิ่งแวดล้อม แต่ทางอียูยืนยันว่าเป็นมาตรการสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่การกีดกันทางการค้า
สำหรับ ทางรอดของสินค้าส่งออกไทยนั้น ผู้ประกอบการต้องปรับตัวโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อให้กระบวนการผลิตให้มีการปล่อยคาร์บอนต่ำเพื่อพยายามมุ่งสู่ Net Zero โดยอาจน่าแนวคิดเรื่อง BCG modelมาประยุกต์ใช้ เตรียมความพร้อมเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและของผลิตภัณฑ์
การเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทยและการซื้อขายคาร์บอนเครดิต นอกจากนี้จะต้องใช้ climate change เป็นจุดขาย เพื่อช่วยดึงดูดผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยอาจพิจารณาการติดฉลากสิ่งแวดล้อม (eco-labeling) และการใช้กลไกราคาคาร์บอนภายในองค์กร
รวมทั้งการแสวงหาโอกาสใหม่ๆที่เกี่ยวกับธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น สินค้าและบริการสิ่งแวดล้อมและพลังงานหมุนเวียน พิจารณาสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ภาครัฐของไทยมีให้ และอาจขอรับการสนับสนุนทางเทคนิคและ การเงินจากต่างประเทศ ติดตามพัฒนาการที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเกี่ยวกับประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมาย และศึกษารายละเอียดของมาตรการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจ
รศ. ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัย และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนพุ่งเป้าไปยังปัญหาภาวะโลกร้อน ที่ขณะนี้ส่งผลเกิดภาวะโลกรวนเกิดปัญหาสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น ในรอบ 100 ปี อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆจนถึงร้อนมากจนกระทั่งส่งผลกระทบต่อคน และภูมิอากาศของโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น เช่น มหาสมุทรอาร์ติกพื้นที่หายไปทุกๆปี ภัยธรรมชาติทั่วโลกเกิดขึ้นมากว่า 820 ครั้งต่อไป หรือ วันละ2-3 ครั้ง
“การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนกลับมามองและเริ่มคิดวิธีการลดภาวะโลกร้อน เพื่อให้เราอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมในอนาคต ซึ่งปัญหานี้ไม่ใช่กระทบเฉพาะแค่สิ่งแวดล้อม แต่กระทบไปยังสังคม เศรษฐกิจด้วย”