น้ำเมา “เสี่ยเจริญ” ไม่สะเทือน Q1 โกยยอดขาย-EBITDAโต ซ้ำขึ้นราคาเบียร์ช้าง!

กว่า 2 ปีที่ผู้ประกอบการเผชิญความยากลำบากในการค้าขายขับเคลื่อนธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ทั้งเหล้า เบียร์ ไวน์ เหล้าไทย เหล้านอกหรือสุรานำเข้า ต่างได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ระบาด เพราะช่องทางจำหน่ายหลักอย่าง “ออนเทรด” ไม่ว่าจะเป็นผับ บาร์ สถานบันเทิง ร้านอาหารต่างๆ ถูก “ล็อกดาวน์” ชั่วขณะบ้าง ลากยาวข้ามปี ยังเปิดให้บริการไม่ได้บ้าง ซึ่งช่องทางดังกล่าวมีสัดส่วนการค้าขายมากกว่า 50% มาโดยตลอด

ตลาดน้ำเมานั้นมีมูลค่า “หลายแสนล้านบาท” เฉพาะเบียร์มูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท ส่วนสุรา วัดจากยอดขายเบอร์ 1 อย่างไทยเบฟเวอเรจ ของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี”โดยมี "เจ้าสัวหนุ่ม ฐาปน สิริวัฒนภักดี" นำทัพธุรกิจ สามารถทำเงินไม่ต่ำกว่า “แสนล้านบาท” เฉพาะปี 2564 กลุ่มสุราทำรายได้ถึง 115,052 ล้านบาท โกยกำไรอีกว่า 22,000 ล้านบาท ส่วนเหล้านอก หรือบรรดาสุรานำเข้าขนาดตลาดเชิงปริมาณไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านลิตร ซึ่งมูลค่าเชิงปริมาณไม่น้อย

หน้าร้านถูก..ปิด!! แต่มาดูผลประกอบการของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ระหว่างเดือน ตุลาคม-ธันวาคม 2564(ปีงบประมาณ ต.ค.-64-ก.ย.2565) บริษัทโกยยอดขายรวม 77,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ยอดขาย71,789 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักภาษี(EBITDA) 14,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 14,431 ล้านบาท โดยมีแรงส่งจาก “ธุรกิจเบียร์-เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์-ธุรกิจอาหาร”

มาดูผลงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจ สินค้ากันว่าเป็นอย่างไร พระเอกตลอดกาลด้าน “กำไร” คือ สุรา สร้างยอดขาย 36,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% ที่น่าสนใจคือ ยอดขายเชิงปริมาณเติบโต 8.6% สะท้อนว่าแม้ห้วงวิกฤติ คนไทยมีผลกระทบด้านกำลังซื้อแต่ “คอทองแดง” ยังบริโภคน้ำเมา ยิ่งกว่านั้นคือ “สุราขาว” พอร์ตโฟลิโอใหญ่สุดของกลุ่มธุรกิจสุรา ที่ “ราคาจับต้องได้” ทำให้นักดื่มยังคงไม่ลดละการดื่มเหล้า ส่วนกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 9,011 ล้านบาท ลดลง 2.3% เนื่องจากเผชิญกับภาวะ “ต้นทุนวัตถุดิบ” ที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โมลาสหรือกากน้ำตาล แต่แนวโน้มทั้งปีคาดการณ์ว่าต้นทุนจะปรับตัวลดลงได้

ธุรกิจเบียร์ จากพอร์ตที่เคยเป็นพระรอง การซื้อไซง่อน เบียร์ แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ คอร์ปอเรชั่น หรือ SABECOเวียดนาม ทำให้เบียร์ใหญ่ขึ้นแบบก้าวกระโดด ไตรมาส 1 สามารถสร้างยอดขาย 33,359 ล้านบาท เติบโต 10.4% เพราะเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆในเวียดนามฟื้นตัว ด้านยอดขายเชิงปริมาณ เพิ่มขึ้น 1.1% ส่วนกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 4,507 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ยอดขาย 3,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% ยอดขายเชิงปริมาณเพิ่มขึ้น 2.3% เพราะบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.2% ขณะที่ธุรกิจอาหาร ซึ่งเจอวิกฤติโควิด และมาตรการรัฐเล่นงานสาหัสไม่น้อย แต่ไตรมาส 1 โชว์ผลงานยอดขาย 3,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% หลักๆคือปลายปีร้านอาหารสามารถกลับมาเปิดให้บริการแก่ลูกค้า ส่วนแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ มีการปรับตัว เพื่อให้บริการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นด้วย ไม่ใช่รอแค่ให้ลูกค้าเดินมาหาที่ร้าน สาขาเท่านั้น ด้านกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 545 ล้านบาท จึงปรับตัวดีขึ้นถึง 35.6%

อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคติดตามการขับเคลื่อนองค์กรของ “ยักษ์ใหญ่” น้ำเมา จะทราบดีว่า ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นนั้น “ผู้บริหาร” หรือแม่ทัพนายกองของหน่วยธุรกิจต่างๆที่ตนเองดูแลอยู่ ไม่สามารถใช้ “ไวรัสมฤติยู” มาเป็น “ข้ออ้าง” ในการทำผลงานไม่เติบโตได้ เรียกว่าจะมีปัจจัยบวดหรือลบ ต้องแก้โจทย์ เพื่อสร้างการเติบโตให้ได้!!

แม้ไทยเบฟจะสร้างยอดขายเหล้าเบียร์เติบโตสวนทางตลาดที่ "หดตัว" และที่ผ่านมายังสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ เพิ่มความมั่งคั่งทุกปี ทว่า นาทีนี้ผู้ประกอบการโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายไม่น้อยจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ลามถึงสงครามการค้า การทำลายล้างทางเศรษกิจของประเทศมหาอำนาจต่างๆที่ "ตาต่อตาฟันต่อฟัน" จนกดดัน "ราคาพลังงานเชื้อเพลิง" ให้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตาม ภาวะต้นทุนพุ่ง ทำให้ "เบียร์ช้าง"ขึ้นราคาขายสินค้าเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะแบบ "ขวดแก้ว" เพราะไม่เพียงต้นทุนขวด แต่ราคาฮอปส์ มอลต์ในตลาดโลกขยับขึ้นไม่แพ้กัน  

ไทยเบฟขึ้นราคา "เบียร์ช้าง"

ส่องผลประกอบการไทยเบฟ 2564