ล้วงกลยุทธ์ "เจมาร์ท" โตปีละ 50% ด้วยเงินทุน ‘3หมื่นล้าน’ แบบไร้ดอกเบี้ย!
เปิดอาณาจักร “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” แห่ง "เจมาร์ท" ตั้งเป้า 3 ปี (65-67) กำไรเติบโตเฉลี่ย 50% ด้วยเงินทุนบนหน้าตักระดับ "3 หมื่นล้านบาท" แบบไร้ภาระดอกเบี้ย !! หวังเชื่อมต่อ “จิ๊กซอว์ธุรกิจ” ดันองค์กรโตขยายตัวทุกมิติ...
“ไม่เคยคิดว่าจะมีพาร์ตเนอร์เป็นแบงก์ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของประเทศเกาหลีใต้ และนี่คือจุดที่จุดประกายให้กลุ่มเจมาร์ทมั่นใจว่าเราเป็นบริษัทไทยที่มีมาตรฐาน เพราะแบงก์ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ยังเลือก และตอกย้ำความมั่นใจเพิ่มอีกหลังกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ใช่เงินเข้ามาให้เจมาร์ท 1.75 หมื่นล้านบาท!!”
ประโยคเปิดใจของ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ตอกย้ำว่าอนาคตใน 3 ปีข้างหน้า (2565-2567) กลุ่มเจมาร์ทยังจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 50% ผม...จะไม่กล้าพูดเช่นนี้เลยหากกลุ่มเจมาร์ทไม่มีเงินทุนก้อนใหญ่จำนวน 30,000 ล้านบาท !! ที่พาร์ตเนอร์และผู้ถือหุ้นเดิมใส่เงินเข้ามา และสิ่งสำคัญจำนวนเงินทุนดังกล่าว “ไม่มีต้นทุนดอกเบี้ย!!”
หากไม่มีเงินทุน 30,000 ล้านบาทที่ไร้ภาระดอกเบี้ย... ผมจะไม่กล้าพูดว่ากลุ่มเจมาร์ทจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 50% ใน 3 ปีข้างหน้า เพราะว่าเป็นเรื่อง “ยากมาก” หากจะเติบโตขนาดนี้ !!
ซีอีโอแห่งอาณาจักรเจมาร์ท เล่าต่อว่า เงินทุนดังกล่าวจะนำไปสร้างการเติบโตใน 3 ธุรกิจหลักของบริษัท นั่นคือ “ธุรกิจเจมาร์ท โมบาย” ยังคงมียอดขายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร้านเจมาร์ทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต่างๆ และผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังมีการออกสินค้าใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง และผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์โทรศัพท์และซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มาต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
ขณะที่ ธุรกิจบริหารจัดการหนี้เสียภายใต้การดำเนินงานของ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT ที่ปี 2565 จะมีเงิน “ซื้อหนี้เสีย” ประมาณ “หมื่นล้านบาท” หลังจากเจมาร์ทใส่เงินเพิ่มทุน JMT จำนวน 5,400 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นเดิม 4,600 ล้านบาท
โดยทุกคนคงเห็นแนวโน้มและรู้ว่าในปีนี้แบงก์อยู่ในสถานการณ์ที่เงินไม่ล้นแต่หนี้ล้น หากย้อนดูในอดีตหนี้เสียในกลุ่มแบงก์และนอนแบงก์ (Non Bank) ทั้งระบบประมาณ 5 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันสูงขึ้นไปถึง 2 ล้านล้านบาท ฉะนั้น ผมคิดว่าสถานการณ์น่ากลัวมาก...
โดยมองว่าแนวโน้มการเติบโตของพอร์ตการบริหารจัดการหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และขยายธุรกิจไปร่วมทุนกับพันธมิตรต่างๆ ซึ่งนำร่องจากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) ซึ่งปัจจุบัน JMT อยู่การเตรียมตัวในการเริ่มธุรกิจ AMC กับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565
ส่วน บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ยังมีความสามารถในการเติบโตได้อีกมาก หลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนจาก บมจ.ยู ซิตี้ หรือ U และผู้ถือหุ้นเดิมของ JMART รวมกันราว “หมื่นล้านบาท” ทำให้ SINGER เร่งการขยายการเติบโตของธุรกิจได้รวดเร็วมากขึ้น และจะเข้ามาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นตามเป้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J ยังคงมีผลงานที่เข้ามาดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการคอมมูนิตี้มอล์ใหม่ๆเพิ่มเติม ทำให้มีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น และการรุกเข้าสู่ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งได้มีความร้วมมือกับโรงพยาบาลวิมุติล่าสุดในโครงการ JAS Green Village คู้บอน และจะขยายแห่งที่ 2 ในย่านบางบัวทองเพิ่มเติม และยังมีการ Synergy ร่วมกับ JMT ในการนำทรัพย์ที่เป็น NPA ที่ JMT ซื้อมามารีโนเวทขายสร้างรายได้เสริมเข้ามาให้กับ J ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การร่วมทุนกับ KB Kookmin Card ภายใต้บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจบัตรกดเงินสดสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จะมีการขยายการเติบโตในเชิงรุก และก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ธุรกิจ Non Bank ของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรธนาคารยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ซึ่งนำเทคโนโลยีมาผนวกเข้าใช้ในการขยายฐานลูกค้า รวมถึงการใช้ช่องทางผ่านสาขาของเจมาร์ทในการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้า ทำให้สามารถขยายการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ส่วน บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ยังคงมีการพัฒนาโปรเจกต์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัว J NFT และจะมี J Metaverse ตามมา อีกทั้งยังมีการนำ Jfin coin มาใช้เป็นประโยชน์ใน Ecosystem ของเครือเจมาร์ท และพันธมิตร เพื่อให้เกิดการใช้งานจริง
“เรายังมองโอกาสในการลงทุนใหม่ๆอย่างต่อเนื่องที่จะทยอยประกาศออกมา และมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการเติบโตในแต่ละปีให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมกับผสานความร่วมมือของธุรกิจในเครือให้มีการเติบโตไปพร้อมกัน”
ท้ายสุด “อดิศักดิ์” บอกไว้ว่า เป้าหมายการเติบโตที่บริษัทตั้งไว้นั้นนอกจากที่จะมาจากการเติบโตด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มเจมาร์ทแล้ว ยังมาจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง หลังจากที่บริษัทได้มีพันธมิตรจากกลุ่มบีทีเอสกรุ๊ปที่ได้เข้ามาเพิ่มทุน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมั่นใจของเรา !