SCB10x เร่งเครื่องลุย ‘metaverse’ รับมือ ธุรกิจตัวกลาง-แบงก์ ถูกดิสรัปชั่น
SCB10x แนะธุรกิจต้องปรับองค์กรรับเทคโนโลยีใหม่ ฟันธง “ Mataverse” มาแน่ ประเมินไม่เกิน 3 ปีมูลค่าตลาดพุ่ง 24 ล้านล้านบาทใหญ่กว่าจีดีพีไทย 2 เท่า “อารักษ์” เผยลงทุนแล้ว 2 หมื่นล้าน
นายอารักษ์ สุธีวงศ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด SCB1OX บรรยายพิเศษ ในหลักสูตร Digital Transformation For CEO#3 จัดขึ้นโดยกรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจและ MFEC ว่า SCB10X ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ก่อตั้งมาแล้วกว่า 2 ปีที่ผ่านมา
โดยจุดประสงค์หลัก เพราะธนาคารไทยพาณิชย์มองข้างหน้าว่า ปัจจัยอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรกว่า 115 ปีของธนาคาร ก็คือการเข้ามาของ Disruptive Technology องค์กรจึงมีการเตรียมความพร้อมในด้านการลงทุน และการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งสิ่งที่พบในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา คือการเข้าไปลงทุนในเรื่อง Blockchain และ Cryptocurrency ที่มีการตื่นตัวกันมาก ขณะที่โลกของ เมตาเวิร์ส (Mataverse) เมตาเวิร์ส หรือโลกเสมือนจริงถือเป็นเรื่องใหม่ที่มีการพูดถึงกันในระดับโลกในช่วง 6 เดือนถึง 1ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ดังนั้นวันนี้เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ
- เมตาเวิร์สใหญ่ 2เท่าของจีดีพีไทย
อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องของ เมตาเวิร์ส จะยังเป็นช่วงเริ่มต้น แต่มีการคาดการณ์ ว่าใน 2-3 ปีข้างหน้า เมตาเวิร์ส จะมีขนาดถึง 8 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 24 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบเกือบ 2 เท่า หากเทียบกับมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีไทย
ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงเม็ดเงินที่เกิดจากการซื้อของบน เมตาเวิร์ส ที่ปัจจุบัน หากดู NFT หรือ Non Fungible Token มีมูลค่าทางการตลาดถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้ของบริษัทปตท. จำกัด(มหาชน) PTT ในปัจจุบัน หรือ 1.2 ล้านล้านบาท ดังนั้นสะท้อนว่าตลาดของ เมตาเวิร์ส เป็นตลาดที่ใหญ่มาก และอนาคตจะมีโอกาสเห็นการสร้างงานบน เมตาเวิร์ส กว่า 20 ล้านตำแหน่ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้านี้
ดังนั้น วันนี้ เราอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี จากที่เคยเห็น ในโลกปัจจุบันไปสู่อีกโลก ที่เป็นโลกอนาคตมากขึ้น เทียบกับยุคเดิมที่เป็นยุคของอินเทอร์เน็ต เมื่อ 30 ปีก่อน ที่พัฒนามาสู่ปัจจุบัน
สำหรับความสำคัญของ เมตาเวิร์ส ปัจจุบันเริ่มเห็นบริษัทใหญ่หลายบริษัท เริ่มมีการเข้าไปลงทุนใน เมตาเวิร์ส มากขึ้น
โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆของโลก เช่น Microsoft , Meta รวมถึง giant ยักษ์ใหญ่ของโลกที่เข้ามาใน เมตาเวิร์ส มากขึ้น สะท้อนว่าเรื่องเหล่านี้มาแน่นอน จึงทำให้เห็นเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุนน เมตาเวิร์ส จำนวนมาก เหมือนกับเมื่อก่อนที่บริษัทใหญ่ๆเข้าไปลงทุนในอินเทอร์เน็ต เหล่านี้จะทำให้เกิดบิสซิเนสโมเดลใหม่ๆอีกมากที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าที่มาจาก เมตาเวิร์ส
นอกจากการเข้าไปลงทุนเพื่อหวังใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาองค์กรแล้ว ยังมีอีกหลายบริษัท ที่เข้าไปใช้ เมตาเวิร์ส ต่อยอดการทำธุรกิจมากขึ้น เช่นการทำการตลาด การขายของ ขายกระเป๋ากุชชี่บน เมตาเวิร์ส ดังนั้นจึงเห็นหลายองค์กร เริ่มมีการคิดและต่อยอดจากสิ่งเหล่านี้มากขึ้น
- ธุรกิจตัวกลางเตรียมถูกดีสรัป
อย่างไรก็ตาม หากดูไส้ในของ เมตาเวิร์ส พบว่า เกิดขึ้นมาจากหลายส่วน ทั้งจากบล็อกเชน NFT และเว็บ3.0 โดยเฉพาะเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่สำคัญมาก ที่จะเข้ามาช่วยทดแทนตัวกลาง มาทำให้ตัวกลางต่างๆหายไป
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ภาคธนาคารให้ความสนใจกับเทคโนโลยีเหล่านี้ รวมถึงบล็อกเชน ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมแรก ทั้งในไทยและทั่วโลก เพราะธนาคารคือตัวกลางขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมทางการเงิน โอนเงิน ถอนเงิน ปล่อยสินเชื่อ ฯลฯ
ดังนั้น ในระยะข้างหน้ามองว่า ธุรกิจที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง จะเป็นธุรกิจที่ถูกดิสรัป จากบล็อกเชนที่จะเข้ามาแทนที่ ทั้งธุรกิจแบงก์ เทรดดิ้งซื้อมาขายไป กรมที่ดิน การเป็นตัวกลางซื้อขายหุ้นต่างๆ ที่จะถูกดิสรัปแน่นอน
จากการมาของเทคโนโลยี เพราะบล็อกเชน จะเข้ามาแทนที่ จากกระบวนการหลักบ้านที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่จะคุยกันเอง ว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่สาระสำคัญคือสามารถทดแทนตัวกลางได้ด้วย เพราะเป็นเทคโนโลยี ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสามารถเข้ามาเป็นเจ้ามือ และคอนโทรลได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น จะเป็นธุรกรรมที่สมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ ไส้ในที่ทำให้เกิด เมตาเวิร์ส ก็ยังมีองค์ประกอบมาจาก DeFi หรือ Decentralized และ NFT รวมถึง เว็บ 3 ที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิด เมตาเวิร์ส ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือโลกของ เมตาเวิร์ส ที่เป็นโลกที่ใหญ่มาก บนความหมายของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน บางคนมองสิ่งเหล่านี้เป็นเกมส์ หรือเป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่เข้ามาทำให้เกิดธุรกรรมต่างๆเกิดขึ้น
- ทุ่มลงทุนในเมตาเวิร์ส
ในมุมของธนาคารไทยพาณิชย์ สำหรับการเข้าไปลงทุนใน เมตาเวิร์ส คือการไปซื้อที่บนแซนด์บ็อกซ์ ขนาด 3 คูณ 3 เพื่อเข้าไปทดลอง เพื่อใช้พัฒนาในด้านต่างๆ ซึ่งคาดว่าในระยะข้างพื้นที่ดังกล่าว อาจสามารถเปิดเป็นที่ประชุม จัดแฮกกะธอนต่างๆได้
ทั้งนี้ ในส่วนการกำกับ เมตาเวิร์ส นั้น มองว่า หากถามคนที่พัฒนา มองว่าไม่ควรมีการกำกับดูแล เพราะวิธีเดียวในการกำกับดูแลคือใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อทำให้เกิดทรานแซกชัน เกิดการซื้อขายได้ จากการใช้บล็อกเชน เป็นตัวกำกับ
อีกทั้งมองว่าหากจะสกีนและป้องกันธุรกิจที่นำเงินไปฟอกเงินบน เมตาเวิร์ส เทคโนโลยีก็สามารถจับสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน โดยใช้ระบบสกอริ่ง
ดังนั้นส่วนตัวมองว่า การทำให้หลายอย่างเคลื่อนไปข้างหน้า คงต้องมีบาลานซ์อยู่ตรงกลาง ว่าจะทำอย่างไรให้มีการกำกับดูแลที่อยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอินโนเวชั่นให้เกิดขึ้นได้ และต้องปล่อยให้นวัตกรรมเจริญเติบโต โดยใช้ระบบ Checks and balances ให้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง
ดังนั้นโลกของบล็อกเชน Decentralized เหล่านี้ มองว่าระหว่างทางจะมีการเรียนรู้ และล้มลุกกันอีกเยอะ จน 5-10 ปีข้างหน้า ที่จะถึงจุดทุกคนสบายใจ มั่นใจได้ ซึ่งตอนนั้นอาจไม่ต้องมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด
อีกทั้งมองว่า ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้น แต่เชื่อว่า โลกของบล็อกเชน NFT และเว็บ3จะยังเป็นสิ่งที่อยู่แน่นอน ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำของแต่ละองค์กร ต้องมีจินตนาการ หาแนวรับมือ และปรับตัวเข้ากับสิ่งเหล่านี้
- แนะเปิดกว้างรับเทคโนโลยีใหม่
ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือผู้บริหารขององค์กร ต้องเปิดกว้าง ในการเปิดรับความรู้ใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ๆมีการเรียนรู้ และเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับโลกของดิจิทัลของ เทคโนโลยีใหม่ๆมากขึ้น เพราะ การปรับองค์กรเข้าสู่ดิจิทัล สู่เทคโนโลยีใหม่ๆ ถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย และการทำให้องค์กรขับเคลื่อนได้ ก็ต้องมาจากผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องมีวิสัยทัศน์ในการเปิดกว้าง เพื่อให้องค์กรหมุนไปได้ เพราะหากองค์กรหมุนไม่ได้ โอกาสปรับเปลี่ยนทั้งองค์กรเป็นเรื่องที่ยาก และโลกของเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่หมุนเร็วกว่าที่คิด
“เรื่องดิจิทัลเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก ไทยพาณิชย์เราเป็นองค์กรขนาดใหญ่ 115 ปี ที่ขยับทีไม่ใช่เรื่องง่าย หลายองค์กรก็มีโจทย์ท้าทายเหมือนกัน ว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรเป็นดิจิทัล และหากเราพูดถึงเทคโนโลยี บล็อกเชน เมตาเวิร์ส อินฟราเหล่านี้ยังไงก็มา และกระทบเราโดยตรง เช่นกระทบธุรกิจที่เราเป็นตัวกลาง ดังนั้นผู้บริหารต้องเปิดใจให้คนรุ่นใหม่ศึกษา ลองผิดลองถูก เช่นเดียวกับไทยพาณิชย์ ที่บอร์ดให้งบเริ่มต้น 50 ล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ในช่วงเริ่มต้นหากสูญหายก็ไม่มีใครติดใจ จนวันนี้เงินลงทุนตรงนี้เพิ่มเป็น 2หมื่นล้านบาทแล้ว”