เปิดร้านอาหาร.. จดบริษัทหรือไม่จดดีกว่ากัน มี "ภาษี" อะไรบ้าง มาดูกัน
ทำความเข้าใจก่อนเริ่มธุรกิจ "ร้านอาหาร" โดยเฉพาะถ้าเปิดเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง หรือมีหุ้นส่วนร่วมด้วย จะเสียภาษีรูปแบบบุคคลธรรมได้หรือไม่ หรือควรจดทะเบียนบริษัท แต่ละแบบต้องทำอย่างไร ? แล้วแบบไหนใช้ประโยชน์ทางภาษีได้มากกว่ากัน
เมื่ออาหารเป็นปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ จึงไม่แปลกใจที่อาชีพเกี่ยวกับการขายอาหารได้ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งขนาดเล็กเรื่อยไปจนถึงใหญ่ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นแบบหาบเร่ มีหน้าร้านแบบซื้อกลับ หรือเปิดเป็นร้านขายอาหารมีที่นั่งรับประทานในร้าน ถือเป็นอาชีพที่มั่นคงเพราะทุกคนย่อมต้องรับประทานอาหารอยู่แล้ว อีกทั้งธุรกิจยังสร้างรายได้ได้ตลอด
ดังนั้น รายได้จากการขายอาหารนี้เอง ผู้ขายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ขายจะเสียภาษีในรูปแบบบุคคลธรรมดา แต่หากมีการเปิดเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง หรืออาจมีหุ้นส่วนร่วมธุรกิจร้านอาหารด้วย จะยังคงเสียภาษีรูปแบบบุคคลธรรมได้หรือไม่ หรือควรจดทะเบียนบริษัทจึงจะถูกต้อง และแบบไหนจะใช้ประโยชน์ทางภาษีได้มากกว่ากัน เราไปทำความเข้าใจกัน
เปิดร้านอาหารแบบ...บุคคลธรรมดา
การเปิดร้านอาหารที่ผู้ประกอบการต้องการทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ซึ่งสิ่งที่ต้องทำประกอบด้วย
1. จดทะเบียนพาณิชย์ (ทะเบียนการค้า)
ผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการทำธุรกิจในนาม "บุคคลธรรมดา" ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (ทะเบียนการค้า) ตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เริ่มประกอบการร้านอาหารโดยระบุวัตถุประสงค์ของการจดทะเบียนพาณิชย์ว่า “เป็นการประกอบกิจการร้านอาหารหรือจำหน่ายอาหาร”
ทั้งนี้ ร้านอาหารในเขตกรุงเทพฯ สามารถยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตที่ร้านอาหารตั้งอยู่ ส่วนต่างจังหวัดให้ยื่นคำขอได้ที่ เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลที่ร้านอาหารตั้งอยู่ในท้องที่
สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์คือ
- คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้จดทะเบียนพาณิชย์
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้จดทะเบียนพาณิชย์ กรณีที่ผู้จดทะเบียนพาณิชย์ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านของสถานที่ตั้งร้าน ต้องแนบเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้
1) หนังสือให้ความยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่
2) สำเนาทะเบียนบ้านที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ความยินยอมเป็นเจ้าบ้าน หรือสำเนาสัญญาเช่า โดยมีผู้ให้ความยินยอมเป็นผู้เช่า หรือเอกสารสิทธิ์อย่างอื่นที่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ให้ความยินยอม
- แผนที่ตั้งของร้าน
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ไม่ได้ไปยื่นจดทะเบียนด้วยตัวเอง)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี)
- ค่าธรรมเนียม 50 บาท
หลังจากจดทะเบียนพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องแสดงใบทะเบียนพาณิชย์ ไว้ที่สำนักงานในบริเวณที่เปิดเผยและมองเห็นได้ง่าย และต้องติดป้ายชื่อร้านที่ใช้ในการประกอบพาณิชย์ไว้หน้าร้านและร้านสาขา (ถ้ามี) บริเวณที่เปิดเผย
2. ภาษีที่ต้องเสีย
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่จดทะเบียนพาณิชย์ และเลือกเสียภาษีในนามบุคคลธรรมดา จัดเป็นอาชีพเงินได้ประเภทที่ 8 หรือ เงินได้ 40(8) หลักการเสียภาษีจะเหมือนบุคคลธรรมดาผู้มีเงินได้ทั่วไป ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
2.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีที่ผู้ประกอบการร้านอาหารมีรายได้ 120,000 บาท/ปี ต้องยื่นแบบฯ ภาษีแต่ไม่เสียภาษี ทว่าถ้าหากมีรายได้เกิน 150,000 บาท/ปี จึงต้องเสียภาษี โดยใช้วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามอัตราภาษีขั้นบันได ตั้งแต่ 5-35%
โดยยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ
- ครั้งที่ 1 ยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน (รายได้ 6 เดือนแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน) ซึ่งสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th
- ครั้งที่ 2 ยื่นชำระภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) ช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ของปีถัดไป (รายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม โดยนำภาษีที่จ่ายครั้งแรกมาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้ในครั้งที่ 2) ซึ่งสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ถึงวันที่ 8 เมษายน ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th
2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการร้านอาหารมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ภายใน 30 วัน และต้องทำการยื่นภาษีแบบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน
2.3 ภาษีป้าย ในกรณีที่ร้านอาหารมีการติดป้ายชื่อร้าน ยี่ห้อ เครื่องหมายการค้า หรือการโฆษณาร้าน เป็นต้น จะต้องเสียภาษีตามพ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 โดยเก็บภาษีตามลักษณะป้าย ดังนี้
- ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยล้วน อัตราภาษีป้าย 5,10 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
- ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศ และ/หรือปนกับภาพ และ/หรือเครื่องหมายอื่น อัตราภาษีป้าย 26, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
- ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใดๆ หรือไม่ และป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วน หรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ อัตราภาษีป้าย 50, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
2.4 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต้องพิจารณาก่อนว่าพื้นที่ร้านอาหารเป็นของผู้ประกอบการเองหรือเช่า ในกรณีที่เช่าจะต้องทำการตกลงให้ชัดเจนกับเจ้าของพื้นที่ว่าภาษีในส่วนนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ต้องเสียหากเป็นที่ดินจะใช้การประเมินทุนทรัพย์สิน และสิ่งปลูกสร้างจะใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์สิ่งปลูกสร้าง ดังนี้
มูลค่า 0-50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.30%
มูลค่า >50 – 200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.40%
มูลค่า >200 – 1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.50%
มูลค่า >1,000 – 5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.60%
มูลค่า >5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.70%
เปิดร้านอาหารแบบจดบริษัท...นิติบุคคล
การเปิดร้านอาหารที่ผู้ประกอบการต้องการทำธุรกิจในนาม "นิติบุคคล" ซึ่งสิ่งที่ต้องทำประกอบด้วย
1. จดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล
การจดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล หรือการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทนั้น ส่วนใหญ่จะนิยมจดอยู่ 2 ประเภท คือ บริษัทจำกัดกับห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยการจดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล ค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยากกว่าการจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา (ทะเบียนการค้า) ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหาร จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท ดังนี้
- ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ กำหนดทุนจดทะเบียน และหาผู้ร่วมทุนเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท
- กำหนดมูลค่าหุ้น และผู้ถือหุ้นสามารถจัดสรรกันเองได้ว่า ผู้ถือหุ้นจะถือหุ้นคนละจำนวนเท่าไร
- ผู้ถือหุ้นทั้งหมดทำการเลือกกรรมการหนึ่งคนหรืออาจจะหลายคนก็ได้ ให้เข้ามาบริหารจัดการร้านอาหาร ซึ่งทั้งหมดจะต้องจดแจ้งไว้ในรายการที่จดทะเบียน
และผู้ประกอบการต้องระบุวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับการจำหน่ายอาหาร หรือธุรกิจร้านอาหารในหนังสือรับรองนิติบุคคล
ทั้งนี้ ร้านอาหารที่ขอจดทะเบียนนิติบุคคล หากอยู่กรุงเทพมหานคร ยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานทะเบียนพาณิชย์เขต ส่วนต่างจังหวัดสามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์จังหวัด
โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ยื่นขอจดทะเบียนนิติบุคคลคือ
- คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน
- หนังสือหรือสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล
- หนังสือให้ความยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่
- สำเนาทะเบียนบ้านที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ความยินยอมเป็นเจ้าบ้านหรือผู้ขอเลขที่บ้าน หรือสำเนาสัญญาเช่า โดยมีผู้ให้ความยินยอมเป็นผู้เช่า หรือเอกสารสิทธิ์อย่างอื่นที่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ให้ความยินยอม
- แผนที่แสดงที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และสถานที่สำคัญบริเวณใกล้เคียงโดยสังเขป
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ผู้ประกอบร้านค้าไม่ได้ไปยื่นจดทะเบียนด้วยตัวเอง)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี)
- ค่าทำเนียมการจดทะเบียน 50 บาท
หลังจากจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเป็นนิติบุคคลแล้ว การดำเนินการจะต้องผ่านกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทที่ได้กำหนดไว้ในรายการจดทะเบียน
2. ภาษีที่ต้องเสีย
เมื่อผู้ประกอบการร้านอาหารได้จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคลแล้ว กำไรที่เกิดขึ้นจะถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งมีหลักการ (สำหรับกิจการที่มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี และมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท จะได้รับสิทธิภาษีอัตราของ SME) ดังนี้
กำไร 300,000 บาทแรก = ยกเว้นภาษี
กำไร 300,001 – 3 ล้าน = ภาษี 15%
กำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป = ภาษี 20%
โดยยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ
- ครั้งที่ 1 ยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) โดยต้องยื่นและชำระภาษีภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
- ครั้งที่ 2 ยื่นแบบชำระภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) โดยต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีป้าย และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเหมือนกับรูปแบบบุคคลธรรมดา
ความแตกต่างของการจดทะเบียนบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ระหว่างจดบริษัทนิติบุคคล หรือไม่จดยังคงอยู่ในรูปแบบบุคคลธรรมดาดีกว่า สามารถสรุปข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 แบบได้ดังนี้
- จดทะเบียนรูปแบบบุคคลธรรมดา
ลักษณะ บุคคลทั่วไป
ข้อดี
- จัดตั้งง่ายเหมาะกับกิจการขนาดเล็ก
- จะได้กำไรหรือขาดทุน เจ้าของเป็นผู้รับผิดชอบแต่พียงผู้เดียว
- อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือเจ้าของ มีอิสระในการบริหารเต็มที่
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารต่ำ
- อยากยกเลิกกิจการเมื่อไหร่ก็ทำได้ง่าย
- ข้อบังคบทางกฎหมายน้อย
ข้อเสีย
- เจ้าของรับผิดชอบในหนี้สิน ไม่จำกัดจำนวน
- การหาเงินทุนเพิ่มอาจทำได้ยาก
- ขาดความน่าเชื่อถือ
- กิจการมีอายุอยู่ตราบเท่าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ยืนยาวและไม่ต่อเนื่อง
- เสียเปรียบด้านภาษีอากร
- จดทะเบียนรูปแบบนิติบุคคล (บริษัทจำกัด)
ลักษณะ บุคคล 3 คนขึ้นไป ลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นรับผิดในหนี้ต่างๆ ไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ถือหุนแต่ละคนลงทุน และต้องจดทะเบียนนิติบุคคล
ข้อดี
- ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระ
- มีจำนวนหุ้นส่วนได้ไม่จำกัด
- ซื้อ ขายหรือโอนหุ้นให้แก่บุคคลอื่นได้
- สามารถหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ (เสียภาษีจากกำไรสุทธิทางภาษี)
- มีความน่าเชื่อถือ
- เสียภาษีน้อยกว่าบุคคลธรรมดา
ข้อเสีย
- ขั้นตอนการจัดตั้งยุ่งยาก
- จำนวนผู้ถือหุ้นที่ลดลง อาจเป็นเหตุให้เลิกบริษัทได้
- การเลิกบริษัทมีขั้นตอนยุ่งยาก
- ค่าใช้จ่ายการดำเนินการสูงกว่า
- ต้องจัดการเอกสาร ยุ่งยากวุ่นวายกว่าบุคคลธรรมดา
- มีเรื่องภาษีต่างๆมากเกี่ยวข้องมากขึ้น
สรุป
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่บรรทัดแรกจนมาถึงบรรทัดนี้ แม้ว่าทั้ง 2 รูปแบบ จะมีรายละเอียดที่เหมือนและแตกต่างกันไปบ้าง รวมถึงข้อดีและข้อเสียที่ช่วยในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบุคคลธรรมดา มีธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีเจ้าของเพียงคนเดียว หรือต้องการเติบโตเป็นธุรกิจอาหารที่มีความมั่นคงในรูปแบบนิติบุคคลก็ตาม
แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการร้านอาหารเองว่า ได้มองเป้าหมายของการทำธุรกิจร้านอาหารของตนเองไว้อย่างไร แล้วตัดสินใจไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ไม่ยาก
-----------------------------------
Source : Inflow Accounting
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่