3 การไฟฟ้า ร้องนายกฯ ทบทวนมติขึ้นค่า "เอฟที" ลดค่าใช้จ่ายประชาชน

3 การไฟฟ้า ร้องนายกฯ ทบทวนมติขึ้นค่า "เอฟที" ลดค่าใช้จ่ายประชาชน

6 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจไทยรวมกลุ่ม ร้องนายกฯ ทบทวนการปรับขึ้นค่า Ft-ลดสัดส่วนรับซื้อไฟจากเอกชน-ขอเอกชนผู้ขายไฟร่วมรับภาระ ขีดเส้น 15 วัน ขอความจัดเจน หากไร้การตอบรับ พร้อมบุกทำเนียบรัฐบาล

นายกิตติชัย ใสสะอาด ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สร.กฟภ.) เปิดเผยว่า สหภาพแรงงานเป็นเครือข่ายไฟฟ้าประปาและยา เพื่อชาติประชาชน (คฟปย.) ประกอบไปด้วยสหภาพแรงงานที่เป็นองค์กร ด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของชาติ ได้แก่ 1. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (สร.กฟผ.) 2. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สร.กฟภ.) 3. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง (สภฟ.) 4. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการประปานครหลวง (สร.กปน.) 5. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการประปาส่วนภูมิภาค (สร.กปภ.) และ 6. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรม (สร.อภ.)

ได้หารือร่วมกัน เพื่อทำหนังสือยื่นต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้มีการทบทวนการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เนื่องจากจะเกิดผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน และควรลดสัดส่วนอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนลง ทั้งนี้ เนื่องจากมีความกังวนเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงนโยบายของรัฐบาลต่อภาวะการครองชีพของพี่น้องประชาชน การต่อสู้กับโรคโควิด-19

“การที่รัฐบาลมีนโยบายปรับเพิ่มค่าเอฟที พร้อมกับปล่อยให้เอกชนเข้ามาดำเนินการขายน้ำประปาในเขตภาคตะวันออก และการจัดหายา เวชภัณฑ์ ที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด 19 อันจะทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ วันนี้ (30 มี.ค.2565) คฟปย.จะเสนอต่อรัฐบาล ประกอบด้วย 1. รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายการขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) โดยเฉพาะเอกชนผู้ผลิต ต้องมีส่วนร่วม และเพิ่มสัดส่วนการผลิตกระแสไฟฟ้าของภาครัฐตามรัฐธรรมนูญ 2. รัฐบาลต้องคงไว้ซึ่งรัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภค รัฐจะต้องดูแลต้นทุนต่างๆ เช่น การเรียกเก็บ ค่าเช่าพื้นที่ในการวางท่อประธานหรือท่อจ่ายน้ำ อย่างเช่น พื้นที่ของกรมทางหลวงและกรมธนารักษ์ (วงเงินงบประมาณ 2 พันล้านบาท) ในเขตพื้นที่ภูมิภาค ในเรื่องน้ำประปา ที่ปล่อยให้เอกชนเข้ามาดำเนินการในพื้นที่เศรษฐกิจ เช่น ภาคตะวันออก จังหวัดปทุมธานี รัฐบาลต้องใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือในการก ากับดูแล และกำหนดราคาที่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

3. รัฐบาลต้องมีนโยบายสนับสนุนให้องค์การเภสัชกรรม ผลิตยา วัคซีนและเวชภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกมีคุณภาพและราคาถูก อย่างเพียงพอ และ 4. รัฐบาลต้องไม่ขายรัฐวิสาหกิจอันเป็นสมบัติของชาติและต้องไม่ทำให้รัฐวิสาหกิจอ่อนแอ จนไม่สามารถดำเนินกิจการได้เพื่อคงไว้ซึ่งกิจการของรัฐที่ต้องมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เพราะรัฐบาลต้องใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแล รับผิดชอบในขอบเขตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบาย การพัฒนาและส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนความมั่นคงของประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่มีการยื่นเรื่องไปแล้ว คฟปย.จะติดตามความคืบหน้าภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีการส่งหนังสือให้ทางรัฐบาลตามข้อเสนอไปดังกล่าวแล้ว หากไม่มีการตอบรับข้อเสนอใด ทางเครือข่ายทั้ง 3 การไฟฟ้าจะบุกเข้าทำเนียบ เพื่อทวงการทบทวนข้อเสนอทั้ง 4 ข้อต่อไป