กกร.ชงนายกฯยืดกฎหมายลูก พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
กกร.เตรียมยื่นนายกฯ ขอขยายเวลาออกกฎหมายลูก พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลฯ ออกไป 2 ปี หวั่นกระทบผู้ประกอบการไทย 7-8 แสนราย ต้องควักเงินปรับระบบอย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาท
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ส.อ.ท.และสมาคมธนาคารไทย ได้หารือการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ Personal Data Protection Act B.E.2562 (PDPA) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.2565
ทั้งนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ได้ถูกเลื่อนออกมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม เนื่องจากเป็นกฎหมายบางมาตรามีผลกระทบกับประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ดิจิทัล ดังนั้น จากการบังคับใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าวในครั้งนี้จะกระทบต่อภาคธุรกิจโดยตรงด้วยเช่นกัน
นายสุพันธุ์ กล่าวว่า กกร.จึงมีความเห็นว่ารัฐบาลควรให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการพิจารณากฎหมายลำดับรอง พร้อมกับเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ไปอย่างน้อย 2 ปี เพราะจากการประเมินของ
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่าเมื่อมีผลบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 แล้วผู้ประกอบการทั่วประเทศไทยราว 6-7 แสนราย จะต้องใช้เงินลงทุนระบบอย่างน้อย 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายในการจ้างทีมงานอบรมพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการปรับระบบคอมพิวเตอร์ในการเชื่อมโยงข้อมูลของลูกค้า พร้อมกับการแจ้งลูกค้าเกี่ยวกับการปรับใช้ข้อมูลตามกฎหมายฉบับใหม่ เป็นต้น
นอกจากนี้ ภายในสัปดาห์นี้ กกร.จะทำหนังสือเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพื่อปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับประเทศสิงคโปร์ เพราะประเทศสิงคโปร์ไม่มีโทษทางอาญา แต่ของประเทศไทยมีผลบังคับถึงกรรมการบริษัทด้วย
นายสุพันธุ์ กล่าวว่า หากจะบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 รวมถึงกฎหมายรอง ทุกภาคส่วนควรช่วยกันแก้พ.ร.บ.เพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดช่องว่างของภาครัฐ ส่งผลให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจไม่ได้ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งหากภาครัฐยืนยันการบังคับใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าวในวันที่ 1 มิ.ย.2565 จะเกิดปัญหาและความเสียหายแน่นอน ดังนั้น จึงควรให้ภาคเอกชนได้เข้าร่วมหารือ เพราะภาคเอกชนและภาคธุรกิจเป็นผู้ถูกใช้กฎหมาย
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจบริษัทใหญ่ที่มีเงินทุนได้เตรียมความพร้อมรองรับการปรับระบบบ้างแล้ว และถือเป็นต้นทุนที่สูง เพราะถ้าออกมาจะเป็นภาระให้ต่อภาคเอกชน แต่จะกังวลในกลุ่มของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ซึ่งมีจำนวนมากจะไม่มีเงินทุนที่จะปรับระบบให้เป็นไปตามมาตรฐานของกฎหมาย อีกทั้ง มองว่ายังมีหลายมาตราที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
รายงานข่าวจากที่ประชุม กกร.ระบุว่า การประชุม กกร.ครั้งนี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รายงานผลสำรวจความพร้อมภาคธุรกิจในการดำเนินการตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีข้อเสนอแนะว่าหน่วยงานกำกับดูแลต้องสื่อสารให้ภาคธุรกิจและประชาชนได้รับรู้กันอย่างทั่วถึงเป็นรูปธรรม
รวมทั้งหน่วยงานกำกับดูแลควรจัดตั้งศูนย์หรือระบบการให้คำปรึกษากับภาคธุรกิจเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้อง และเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในการปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะตอนนี้มีแนวปฏิบัติที่หลากหลายทำให้เกิดอุปสรรคต่อการปฏิบัติตามกฎหมาย และควรบังคับใช้กฎหมายค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังขาดความชัดเจนในเรื่องกฎหมายรองและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนจากหน่วยงานผู้กำกับดูแลทำให้ภาคเอกชนมีอุปสรรคในการดำเนินการ และควรจัดสัมมนาและการอบรมให้ความรู้ภาคธุรกิจและประชาชนมากขึ้น เพราะมีการตีความกฎหมายหลากหลายทำให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติตามกฎหมาย
สำหรับเหตุผลของการออกกฎหมายฉบับดังกล่าวที่ระบุในหมายเหตุท้าย พ.ร.บ. คือ ปัจจุบันมีการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากจนสร้างความเดือดร้อนรำคาญหรือความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งความก้าวหน้าเทคโนโลยีทำให้การเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นการล่วงละเมิดทำได้ง่าย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ