BBLAM แนะ 4 กองทุนหุ้น ที่เหมาะเพิ่มน้ำหนักลงทุน
บลจ.บัวหลวง แนะนำกองทุนที่เหมาะเพิ่มน้ำหนักลงทุนประจำไตรมาส 2 ปี 2565 เนื่องจากเป็นธีมการลงทุนระยะยาว และมูลค่าน่าสนใจเพิ่มขึ้น ทั้ง B-SIP, B-CHINE-EQ, B-INNOTECH และ B-GLOB-INFRA เสริมด้วยคำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย กับ B-SMEQ
นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.บัวหลวง หรือ BBLAM เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 นี้ ปัจจัยทางเศรษฐกิจหลักๆ ที่มีผลต่อการลงทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ ทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการดูดซับสภาพคล่องในระบบ ส่วนปัจจัยที่เพิ่มมา คือ สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อ เนื่องจากทำให้ราคาพลังงาน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นรวดเร็ว และทำให้เกิดปัญหาการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มมีผลกับตลาดน้อยลง
จากปัจจัยที่กล่าวมา ทีม Investment Strategy ของ BBLAM ได้จัดทำคำแนะนำการลงทุน B-SELECT คัดเลือก 4 กองทุนต่างประเทศที่สอดคล้องกับเทรนด์การลงทุนระยะยาว และมองเห็นโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ เนื่องจากมูลค่าหุ้นกลุ่มที่กองทุนลงทุนปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ รวมทั้งเป็นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตได้ท่ามกลางเงินเฟ้อ ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงยั่งยืน (B-SIP) กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) และกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอลอินฟราสตรัคเจอร์ (B-GLOB-INFRA)
สำหรับเหตุผลที่แนะนำ B-SIP เนื่องจาก BBLAM มองว่า ในช่วงที่ราคาพลังงานสูงขึ้นและประเทศต่างๆ โดยเฉพาะยุโรปมีปัญหาขาดแคลนพลังงาน จนต้องเร่งทำแผนเพื่อเพิ่มการผลิตพลังงานสะอาด หรือ REpowerEU ทำให้เห็นความสำคัญเรื่องการลงทุนในบริษัทพลังงานสะอาดชัดเจนขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนอย่างมาก
ส่วน B-CHINE-EQ เราให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยมองว่า ตลาดมีมุมมองบวกต่อหุ้นจีนมากขึ้น หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายความกังวลให้ในหลายข้อ โดยเฉพาะเรื่องหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยยังมีความกังวลในเรื่องนโยบาย Zero Covid Policy ที่อาจกระทบภาวะเศรษฐกิจ จากการล็อคดาวน์เมืองเซินเจิ้นและเซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นจีน โดยเฉพาะในตลาดฮ่องกง อยู่ในระดับที่น่าสนใจ อีกทั้งเงินเฟ้อไม่สูงเกินไป ทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะได้เห็นนโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม
ขณะที่ B-INNOTECH ก็เป็นอีกกองทุนหนึ่งที่ BBLAM แนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุนต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เนื่องจากมองว่า หุ้นบริษัทเทคโนโลยีถูกเทขายจากความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และเงินเฟ้อ จนทำให้มูลค่าถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ก็มีความสามารถในการปรับตัว มีความสามารถในการแข่งขัน และสามารถปรับราคาขึ้นได้ จึงได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อค่อนข้างจำกัด และกองทุน B-INNOTECH ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีคลาวด์ และฟินเทคเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี
ส่วนกองทุน B-GLOB-INFRA เรามองว่าหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเป็นหุ้นเชิงรับ หรือ Defensive ที่มีความน่าสนใจ ในภาวะเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากรายได้ของบริษัทโครงสร้างพื้นฐานสามารถปรับตัวขึ้นไปพร้อมเงินเฟ้อได้ และธุรกิจก็มีแนวโน้มเติบโต เช่น ธุรกิจพลังงานสะอาด
นายสันติ กล่าวว่า นอกเหนือจากคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน 4 กองทุนหุ้นต่างประเทศที่กล่าวมาแล้ว หากนักลงทุนมองหาการลงทุนหุ้นไทยอยู่ BBLAM ก็แนะนำให้ลงทุนผ่าน กองทุนเปิดบัวหลวง Small Mid Equity หรือ B-SMEQ เนื่องจากหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นดาวเด่นที่จะเติบโตได้ในระยะยาว
“ในฐานะที่ BBLAM เป็นบริษัทจัดการที่เน้นเรื่องการลงทุนระยะยาว มองว่า ในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน ก็เป็นโอกาสของการเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี แต่มูลค่าปรับลดลงมากเกินไปจนทำให้มูลค่าน่าสนใจ ส่วนนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามภาวะตลาด และมองว่าการจับจังหวะลงทุนเป็นเรื่องที่ยาก ก็สามารถใช้วิธี DCA ทยอยลงทุนต่อเนื่องทุกเดือนด้วยเงินงวดละเท่าๆ กัน ในกองทุนที่ลงทุนในเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตระยะยาวได้” นายสันติ กล่าว