สงกรานต์ปี 65 ซึม เงินสะพัด 1.06 แสนล้านบาท ต่ำสุดในรอบ10 ปี
โพล์สงกรานต์ ม.หอการค้า เผย สินค้า-น้ำมันแพง ทำสงกรานต์ไทยปี 65 ไม่คึกคัก เงินสะพัด 1.06 แสนล้านบาท ต่ำสุดในรอบ10 ปี หนุนต่ออายุโครงการคนละครึ่ง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจ พฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มองว่า บรรยากาศสงกรานต์ปี 2565 ไม่สนุกสนาน ไม่คึกคักถึง 64% เนื่องจากประชาชนยังกังวลเรื่องของค่าครองชีพ ราคาสินค้า ราคาน้ำมันแพงขึ้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและส่วนหนึ่งมีหนี้สินเพิ่ม ทำให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ประชาชนจะใช้จ่ายลดลง 45.1% ซึ่งเป็นการใช้จ่ายลดลงต่ำสุด ขณะที่ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอนส่วนใหญ่ไม่กังวลสถานการณ์โอมิคอรน แม้ตัวเลขผู้ป่วยรวมเอทีเคติดเชื้อวันละ 5 หมื่นคน แต่ไม่ใช่ปัจจัยบั่นทอน เพราะปัจจัยบั่นทองคือค่าครองชีพและราคาน้ำมัน
“ คาดว่าเทศกาลสงกรานต์ปี 2565 จะมีเงินสะพัด 106,772 ล้านบาท ลดลง 5.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 21.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเป็นปีปกติก่อนที่จะมีปัญหาของโควิด-19 และเป็นเม็ดเงินต่ำสุดในรอบ 10 นับตั้งแต่ปี 2556 ทำให้ส่งกรานต์ปีนี้ค่อนข้างที่จะซึม และก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเล่นสงกรานต์อย่างไร เนื่องจากต้องรอดูความชัดเจนจากรัฐบาลด้วย”
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ มองว่า มีโอกาสเติบโตได้ 3-4 % ซึ่งขณะนี้หลายสำนักได้ปรับการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้โตเพียงแค่ 2.5-3 % โดยมองว่ามีปัจจัยจาก ประชาชนอยู่กับโอมิครอนได้ ส่งออกไทยขยายตัว 4-5% สงครามค่อยๆคลี่คลายแม้จะมีการสู้รบอยู่บ้าง แต่มองว่าไตรมาส 2 จะดีขึ้น รัฐบาลผ่อนคลายการเข้าประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังต้องการให้รัฐบาลขยายโครงการคนละครึ่งเฟส 5 โดยเริ่มในเดือนมิ.ย. 2565 จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ 45,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้จะมีการประเมินเป้าหมายตัวเลขเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง
ส่วนสถานการณ์ด้านราคาน้ำมัน หากวิ่งอยู่ในระดับที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย และขณะนี้ สหรัฐมีการประกาศเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันฉุกเฉินออกมาใช้ ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะมีผลต่อราคาสินค้าเกษตรและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงกล้าในการจับจ่ายใช้สอย ในช่วงที่ภาคเอกชนยังคงประคับประคองสถานการณ์ราคาสินค้าและค่าครองชีพ ไม่ได้ปรับราคาสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศและเมื่อสถานการณ์ราคาน้ำมันมีการผ่อนคลายลงเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงได้