ผู้นำ 71% เครียดพุ่ง หมดไฟสูง Gen Z ส่วนใหญ่ขอเลี่ยงบทบาทนี้

ผู้นำองค์กรยุคนี้ 71% เจอความเครียดหนักขึ้น เสี่ยงภาวะหมดไฟ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ แก้ได้ด้วย 3 วิธีเลี่ยงความเครียด ช่วยฮีลใจ หมดไฟน้อยลง 2 เท่า ลดอัตราการลาออก 1.5 เท่า
KEY
POINTS
- ผลสำรวจพบว่า 71% ของผู้นำรู้สึกว่าความเครียดเพิ่มขึ้น ขณะที่ 54% กังว
ทุกวันนี้ "ผู้นำ" ต้องแบกรับความเครียดมหาศาล จนเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ และทำให้องค์กรอาจสูญเสียคนเก่งไปอย่างน่าเสียดาย แล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยลดความเครียดในบทบาทผู้นำได้?
เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะสุขภาพกาย ใจ และความสุขของผู้นำ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ใช่แค่ต่อตัวผู้นำเอง แต่ยังส่งผลถึงทีม และวัฒนธรรมขององค์กรในระยะยาวด้วย
อีกทั้งพฤติกรรมของผู้นำมีอิทธิพลสูงต่อบรรยากาศการทำงานของแต่ละองค์กรอย่างมาก เพราะลูกน้องในทีมมักจะซึมซับพฤติกรรมเหล่านั้นไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ดีหรือแย่นั้น (จากตัวผู้นำ) มีผลอย่างยิ่งต่อแรงจูงใจ การมีส่วนร่วม และผลงานโดยรวมของพนักงานหรือลูกน้องในทีมด้วยเช่นกัน
ความเครียดของ 'ผู้นำ' เป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม
ผลสำรวจจาก Development Dimensions International (DDI) องค์กรที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผู้นำและประเมินศักยภาพบุคลากรระดับโลก พบว่า ผู้นำในปัจจุบันมีความเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยทีมวิจัยได้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้นำองค์กรเกือบ 11,000 คนทั่วโลก พบว่า
- 71% ของผู้นำรู้สึกว่าความเครียดของตัวเองเพิ่มขึ้น
- 54% กังวลเกี่ยวกับการหมดไฟในการทำงาน
- 40% ถึงกับพิจารณาลาออกเพื่อรักษาสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ผู้นำยุคนี้เครียดมากขึ้นนั้น หนึ่งในปัจจัยใหญ่คือ "ขาดเวลา" การทำงาน โดย 30% ของผู้นำรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะทำงานได้อย่างมีคุณภาพ และถูกกดดันเรื่องเวลา ซึ่งสิ่งนี้เชื่อมโยงกับภาวะหมดไฟโดยตรง
อีกสาเหตุคือ "การขาดทรัพยากร" หรือ "ขาดข้อมูลจำเป็นต่อการทำงาน" ผู้นำที่รู้สึกว่าไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ มีแนวโน้มกังวลเรื่องหมดไฟมากกว่าผู้นำที่ได้รับการสนับสนุนถึง 2 เท่า
Gen Z หลีกเลี่ยงตำแหน่ง "ผู้นำ" ไม่อยากเครียดสะสม
นอกจากนี้ หากเจาะลึกข้อมูลลงไปเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่เริ่มทำงานแล้ว ก็พบว่า พวกเขามีแนวโน้มจะหลีกเลี่ยงบทบาทผู้นำมากกว่าคนรุ่นอื่นถึง 1.7 เท่า เพราะไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงกับความเครียดสะสม จนกระทบสุขภาพจิตระยะยาวในที่สุด
ขณะเดียวกัน งานวิจัยจาก Randstad USA แพลตฟอร์มหางานและที่ปรึกษาด้าน HR ชื่อดัง ก็ได้ทำการสำรวจวัยทำงานคนรุ่นใหม่ อายุ 18-67 ปี ใน 34 ประเทศ ซึ่งพบข้อมูลในทิศทางเดียวกันว่า
- 39% ของพนักงานรุ่นใหม่ ไม่ต้องการเลื่อนตำแหน่ง
- 57% ยอมปฏิเสธงานที่กระทบสมดุลชีวิตกับงาน
ผลสำรวจทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนว่า ความเครียดกำลังทำให้คนรุ่นใหม่ลังเลกับบทบาทงานใน "ตำแหน่งผู้นำองค์กร" มากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ 3 วิธีลดความเครียดสำหรับผู้นำ
ดร.เทรซี่ บราวเวอร์ (Tracy Brower) นักสังคมวิทยาระดับปริญญาเอก ที่เชี่ยวชาญด้านความสุข ชีวิตการทำงาน และอนาคตของการทำงาน บอกว่า แม้ปัจจุบันนี้จะมีเทคนิคจัดการความเครียดมากมาย แต่จากข้อมูลล่าสุดของผลสำรวจข้างต้น เธอสรุปได้ว่ามี 3 วิธีหลักๆ ที่ผู้นำใช้ได้ผลดีที่สุด ได้แก่
1. การสะท้อนตัวเอง (Self-Reflection)
74% ของผู้นำในผลสำรวจบอกว่า พวกเขาใช้การสะท้อนตัวเองเป็นวิธีจัดการความเครียด โดยคิดทบทวนสิ่งที่ผ่านเข้ามา การตัดสินใจที่ได้ทำไปแล้ว และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โดยบางคนเลือกสะท้อนเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ก็ได้ และสามารถทำทั้งแบบคิดคนเดียว เขียนบันทึก หรือพูดคุยกับผู้อื่นก็ได้
การทำสิ่งนี้นอกจากช่วยลดเครียดแล้ว การสะท้อนตัวเองยังเป็นกุญแจสู่ "ความเป็นผู้นำอย่างมีปัญญา" ด้วย เพราะการเป็นผู้นำที่ดีต้องรู้ทั้งไตร่ตรองและลงมือทำอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ควรสะท้อนตัวเองอย่างพอดี อย่าให้มากเกินจนวนเวียนคิดไม่ตกหรือวิตกกังวล
2. การเปิดใจพูดคุย (Open Discussions)
71% ของผู้นำ เลือกที่จะเปิดใจคุยกับเพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิท เพื่อลดความเครียด เพราะการพูดคุยช่วยให้ไม่จมอยู่กับความคิดตัวเอง และเปิดรับมุมมองใหม่ๆ ที่อาจช่วยแก้ปัญหาได้
ที่สำคัญ การพูดคุยอย่างจริงใจยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพจิต ความสุข และความพึงพอใจในชีวิตด้วย
3. การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning)
46% ของผู้นำบอกว่า ใช้ "การเรียนรู้" เป็นเครื่องมือจัดการความเครียด พวกเขาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง จากคอร์สออนไลน์ หรือแม้กระทั่งจากการมีที่ปรึกษา (Mentor)
การเรียนรู้นี้ไม่เพียงช่วยให้พัฒนาตนเอง แต่ยังมีความเชื่อมโยงกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีประสิทธิภาพและส่งผลดีทั้งต่อพนักงาน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกด้วย
วิธีปรับปรุงจิตใจทั้งสามข้อข้างต้น นอกจากจะช่วยจัดการความเครียดให้แก่ตัวผู้นำได้โดยตรงได้แล้ว องค์กรก็จะได้รับประโยชน์ตามไปด้วย ข้อมูลจาก DDI ชี้ว่า ผู้นำที่ใช้เทคนิคจัดการความเครียด มีโอกาสที่จะเผชิญภาวะหมดไฟน้อยกว่าถึง 2 เท่า และมีโอกาสที่จะลาออกจากองค์กรน้อยกว่าถึง 1.5 เท่า
แม้การเป็นผู้นำยุคนี้จะท้าทายกว่าที่เคย แต่ก็มีหนทางรับมือความเครียดได้ และเมื่อลดเครียดได้สำเร็จ ก็ย่อมส่งผลดีต่อทั้งตัวผู้นำ ทีมงาน และองค์กรในภาพรวม
อ้างอิง: Forbes, DDI world, DDI Unbossing, RandstadUSA