ผ่าแนวคิด“นริศ เชยกลิ่น”กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาฯ
“นริศ เชยกลิ่น” นักบริหารมืออาชีพดูแลบริษัทมูลค่าหลักหมื่นหลักแสนล้าน อดีตแม่ทัพสิงห์ เอสเตทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ และเซ็นทรัลพัฒนา ถือเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ ที่น่าจับตามอง หลังโดดลงมาเล่นการเมืองในนามพรรคสร้างอนาคตไทย
“นริศ” เผยถึงมุมมองและแนวคิดในการผลักดันให้อสังหาฯ เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนประเทศไทย ให้ก้าวออกจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำว่า การหดตัวทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจรวมถึงอสังหาฯ ซึ่งเป็น “เครื่องยนต์ ” ที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากมีสัดส่วน 8% ของ จีดีพีประเทศ มีเงินหมุนเวียนและจ้างงานมาก มีการลงทุนสูง ที่สำคัญคือเป็นธุรกิจซึ่งเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นอีกหลายประเภท เช่น แรงงาน ก่อสร้าง สถาบันการเงิน วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ
เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการอสังหาฯ จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะเชื่อว่าหากอสังหาฯ ฟื้นจะช่วยให้ธุรกิจอื่นฟื้นตามไปด้วย เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีมัลติพลายเออร์ เอฟเฟคสูง
จากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการใหญ่ของเซ็นทรัลพัฒนาอย่าง “เซ็นทรัลเวิลด์” ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่สุดในชีวิต รองลงมาคือโครงการ “ครอสโร้ดส์” ส่วนงานอื่นๆ จะเป็นงานด้านการเงิน การตลาด ในมุมมองของนักการเงิน ระบุว่า ที่ผ่านมาโครงการบ้านล้านหลัง ถือเป็นโครงการที่ดีในการทำให้คนมีบ้าน ราคาต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท รองรับกลุ่มฐานรากรายได้น้อย แต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด จึงควรจะมีมาตรการอื่นเข้าช่วยเหลือคนระดับกลาง โดยเฉพาะเจเนอเรชั่นต่อไปจะหาซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองยากขึ้น เพราะราคาแพงขึ้นในระยะกลาง ส่วนในระยะยาวจำนวนประชากรที่น้อยลงก็จะส่งผลกระทบต่ออสังหาฯ อนาคตประเทศไทยเหมือนในฮ่องกง นิวยอร์ก ที่นิยมเช่าคอนโด /บ้าน แทนที่การซื้อ
และปัญหาที่จะเข้ามากระทบเร็วๆ นี้ คือ “ดอกเบี้ย” กำลังจะแพงขึ้น จะกลายเป็นภาระ และส่งผลกระทบต่ออำนาจการซื้อ ภาระการผ่อนเพิ่มขึ้น
“การทำให้เขามีกำลังซื้อเป็นเรื่องใหญ่ การใช้ช่องทางผ่านธนาคารอาคารส่งเคราะห์เป็นส่วนหนึ่ง แต่ควรมีรูปแบบการสนับสนุนทางด้านการเงินด้วย ในส่วนมาตรการทางการคลังที่น่านำมาใช้ อาทิ มาตรการทางภาษี ในการให้สิทธิลดหย่อนภาษี เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรพิจารณา”
คนที่เสียภาษี ยกตัวอย่างระดับผู้จัดการ เงินเดือน1แสนบาท เสียภาษี 20% ดังนั้นเวลาจะซื้อบ้าน หรือซ่อมแซมควรจะลดหย่อนให้เยอะหน่อย หากกู้ยืมเงินก็ให้เอาดอกเบี้ยมาหักภาษีได้เยอะขึ้น เหมือนกับเป็นการคืนให้กับคนที่เสียภาษี ซึ่งสุดท้ายรัฐบาลได้กลับไปอยู่ดี และยังช่วยกระตุ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรีโนเวทบ้านไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาหรือเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
นริศ กล่าวว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาต้องมองให้ครอบคลุมทุกด้านไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน หรือรัฐบาล อยากจะขยายธุรกิจ อยากจะเติบโต ต้องศึกษาความเสี่ยง และต้องมีกรอบงบประมาณที่ชัดเจน นอกจากนี้มาตรการที่น่านำมาใช้ก็คือ การ “เช่าซื้อ” เพื่อลดภาระ ขณะเดียวกันถ้าผู้เช่าสามารถพิสูจน์ตนเองได้ว่า มีความสามารถในการชำระ มีประวัติเครดิตที่ดี น่าจะมีสิทธิหรือว่าโอกาสที่เข้ามาเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยนั้นได้มากขึ้น
ข้อดีของการเช่าคือการไม่ไปเพิ่มซัพพลายในตลาด
ส่วนการพัฒนา “เมืองใหม่” เห็นว่าควรทำควบคู่กับการปรับปรุงกรุงเทพฯ ทำให้ประชากรส่วนหนึ่งในกรุงเทพฯ ย้ายไปอยู่เมืองใหม่ เพราะอีก 2 ปีจะมีระบบรางที่ดีออกมารองรับการเดินทาง สำหรับแนวคิดในการพัฒนาเมืองเริ่มจากโครงการนำร่องจากการพัฒนาเมืองราชการ, เมืองการศึกษา รองรับประชากรที่ย้ายออกไปจากเมืองเศรษฐกิจ หรือเมืองท่าอย่างกรุงเทพฯที่มีความแออัด เหมือนปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, โอซาก้า, โตเกียว
เมืองใหม่ไม่ควรไกลเกินไป ที่สำคัญต้องตัดปัจจัยทางการเมืองออกไป เอาปัจจัยทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวตั้งในการพัฒนา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลิตภาพที่ดีที่สุด
ส่วนของโครงการอีอีซี ควรเร่งเดินหน้าต่อหลังจากที่ล่าช้าไประยะหนึ่ง
นริศ ยังมีมุมมองเกี่ยวกับภาคการเกษตรที่ต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ และการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณโดยเน้นกลุ่มที่มีกำลังซื้อในโซนยุโรป อเมริกา แทนการเน้นกลุ่มคนจีน รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อาทิ การดูแลเรื่องคริปโทฯ ควรให้การสนับสนุนเพราะเป็นเทรนด์โลก! แต่ต้องมีการควบคุมที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต เหมือนกับลิทัวเนียเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งหนึ่งในยุโรป ด้วยการส่งเสริมคนเก่งด้านดิจิทัลเข้ามาทำธุรกิจ ใช้ระบบการโอนเงินไม่ต้องพึ่งธนาคาร
“ปัจจุบันไทยไม่สามารถแข่งขันต้นทุนค่าแรงราคาถูกกับเวียดนาม จีนตะวันตก อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมทั้งการเมืองที่นิ่งกว่า ฉะนั้นไทยต้องพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และมาร์จิ้นเยอะ สอดคล้องแนวทางของการพัฒนานิคมฯ ในโซนอีอีซี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวทางนำเสนอพรรคในการทำนโยบายเศรษฐกิจ”
นริศ ยอมรับว่า การทำงานการเมืองเป็นเรื่องยาก แต่อยากทำให้แนวคิดที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศและทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น มีบ้านง่ายขึ้น หากมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วม คาดว่าจะมีการแถลงนโยบายพรรคเร็วๆ นี้
“หลังจากที่คุยกับทาง 3 สมาคมอสังหาฯ เขาระบุว่า สร้างอนาคตไทย เป็นพรรคที่มีมืออาชีพด้านเศรษฐกิจมากที่สุด”