PTTGC มั่นใจยอดขายครึ่งปีหลังโมเมนตัมดี ลุยปิโตรคอมเพล็กในสหรัฐ
"พีทีทีจีซี"ครึ่งปีหลัง65 กางแผนพร้อมรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย-สงคราม ขณะที่ระดับราคาเม็ดพลาสติก คาดทรงตัวที่ 1,200 ดอลลาร์/ตันได้ และปิดความเสี่ยงค่าเงิน -ราคาน้ำมันไปมากแล้ว หนุนรายได้ปีนี้มีโมเมนตัวที่ดี ลุยธุรกิจปิโตรคอมเพล็กในสหรัฐ
นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า สำหรับในปีนี้มั่นใจว่ายังสามารถดำเนินธุรกิจได้ปกติตามที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทได้เตรียมพร้อมรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง 2565 แล้ว ทั้งผลกระทบจากสงครารัสเซียกับยูเครนที่ยังยืดเยื้อต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีมานี้ และเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญความเสี่ยงภาวะถดถอยในครึ่งปีหลังหรือในต้นปีหน้า
เนื่องจากปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจกระจายทั่วโลก มีสัดส่วนรายได้ 50% มาจากในประเทศไทย และอีก 50% มาจากการขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชีย ในกลุ่มประเทศ CLMV ที่เศรษฐกิจยังมีการเติบโตสูง และตลาดหลักอย่างจีน สัดส่วน 10% ,สหรัฐและยุโรป สัดส่วน 10% เกี่ยวกับการส่งออกและ และบริษัท Allnex เป็นธุรกิจใหม่ที่มีตลาดทั่วโลกมาช่วยสร้างการเติบโตในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีความพร้อมด้านอื่นๆ เช่น พิจารณาปรับลดงบลงทุนอื่นๆ เช่น ด้านเทคโนโลยี ปรับลดตามความเหมาะสมอาจเลื่อนการลงทุนบางอย่างออกไปเป็นปีหน้า ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถการแข่งขันแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมานี้ได้ลงทุนในโครงการที่เป็นธุรกิจหลักไปครบแล้ว เช่น โคงการพลาสติกรีไซเคิล จะเกิดขึ้นในปีนี้
พร้อมกันนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้พิจารณมการออกหุ้นกู้ ทั้งสกุลเงินบาทและดอลลาร์ แต่ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ ทำให้เรามีสัดส่วนอัตราดอกบี้ย คงที่ ประมาณ 70% ของอัตราส่วนหนี้ทั้งหมด ทำให้เรามีความสามารถในการล็อกต้นทุนทางการเงินได้ดีในทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
นอกจากนี้ หากแนวโน้มดอกเบี้ยปรับลดลง ซึ่งบริษัทมีดอลลาร์บอนด์ จำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ ที่จะหมดอายุในเดือนก.ย. มองว่าเป็นโอกาสที่จะพิจารณาออกดอลลาร์บอนด์เพิ่มเติมในปีนี้ได้ แต่ทั้งนี้ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมดัวย ทั้งความจำเป็นในการใช้เงิน ต้นทุน และการบริหารจัดการทางการเงินอย่างเหมาะสม
นายจิตศักดิ์ กล่าวว่า ทางด้านแนวโน้มรายได้ครึ่งปีหลัง 2565 คาดน่าจะรักษาระดับโมเมนตัมการเติบโตได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก จากระดับราคาเมล็ดพลาสติกที่ยังทรงตัวตามระดับราคาน้ำมันและรับข่าวลบต่างๆ ไปมากแล้วและในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการปิดซ่อมบำรุงบางโรงกลั่นน้ำมัน ทำให้รายได้อาจอ่อนตัวลงมาบ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลัง คาดว่า ผลกระทบจากความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมัน จะลดลงจากครึ่งปีแรก บริษัทมีผลขาดทุนจากการปิดความเสี่ยงดังกล่าวไปมากแล้ว และระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ช่วยลดผลกระทบได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดรับข่าวและสะท้อนไปที่ระดับราคาเมล็ดพลาสติกแล้ว จากครึ่งปีแรก ระดับราคาอยู่ที่ 1,400-1,600 ดอลลาร์ต่อตัน ปัจจุบัน ลดลงมาอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อตัว คาดว่าครึ่งปีหลังราคาน่าจะทรงตัวที่ระดับนี้ได้ ส่งผลให้ยังรักษาอิบิทด้าที่ระดับราคานี้ไว้ได้
"เรายังต้องติดตามปัจจัยด้าน ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง แม้จะเริ่มอ่อนตัวลงบ้างในครึ่งปีหลัและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก อาจจะทำให้ความต้องการของลูกค้า ที่จะสต็อกกิ้งเพื่อผลิตลดลง อาจส่งผลให้ระดับราคาอ่อนตัว"
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลัง บริษัทยังมุ่งดำเนินการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กที่สหรัฐ ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาและการหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาร่วมลงทุน พิจารณาในช่วงครึ่งปีหลังจนถึงต้นปีหน้า โดยเบื้องต้นยังต้องประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยในสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุนบริษัท Kuraray GC Advanced Material (KGC) ซึ่งเป็นการผลิตภัณฑ์ที่เป็นซุปเปอร์เอ็นจีเนียริ่ง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทดความร้อน คาดว่าจะดำเนินการเสร็จในไตรมาส 4 ปีนี้ , โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (PP) 250,000 ตัน ของบริษัท HMC Polymers คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 3 ปีนี้
ที่สำคัญ บริษัท ยังเดินหน้า Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ Allnex เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ หรือ ในต่างประเทศ โดยใน 100 วันแรกที่เข้าถือหุ้นใน Allnex จะเกินการร่วมมือลงทุนต่อยอด และ การหาโอกาส M&A โดยเชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าธุรกิจของ Allnex จะมีการเติบโต และ มี EBITDA เพิ่มขึ้น 1.5 เท่าในปัจจุบัน
Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล และ มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการใช้พลังงานทดแทน รวมไปถึงเรื่องของการลดการปล่อยคาร์บอน
ทางด้านแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทประเมินว่า สำหรับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน น่าจะยังเติบโตที่ดี แม้อ่อนตัวลงบ้างจากครึ่งปีแรก ตามสถานการณ์โดยรวมและราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมาบ้าง จากราคาน้ำมันปรับลดมาบ้าง
ธุรกิจอะโรมาร์ติกส์ ยังต้องติดตามใกล้ชิด แม้ช่วงไตรมาส 4 เป็นไฮซีซั่น มีความต้องการผลิตสินค้าเพื่อขายช่วงสิ้นปี แต่บางโรงงานผลิตอะโรมาร์ติกส์ ยังมีแผนหยุดการผลิต เพื่อไปผลิตสินค้าชนิดอื่นแทน อาจส่งผลให้ปริมาณสินค้าที่ต้องอะโรมาร์ติกส์ลดลงไปบ้าง
ธุรกิจโอเลฟินส์ ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง จากสถานการณ์โควิดที่ยังมีอยู่ ทำให้ยังมีความต้องการสินค้าด้านสุขอนามัย และฟู้ดแพกเกจจิ้น ยังเป็นสินค้าที่ใช้ชีวิตประจำวันอยู่