บล.กสิกรไทย ชี้ 2 ปัจจัยกำหนดตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี "ดอกเบี้ยเฟด-การเมืองไทย"

บล.กสิกรไทย ชี้ 2 ปัจจัยกำหนดตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี "ดอกเบี้ยเฟด-การเมืองไทย"

บล.กสิกรไทย ชี้ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี ได้แก่ ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ โดยส่วนใหญ่มองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนก.ย. นี้ รวมทั้งต้องติดตามศาลรัฐธรรมนูญตัดสินปมนายกฯ 8 ปี ประเมินหากมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่กระทบต่อหุ้นไทยจำกัด

บล.กสิกรไทย ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ได้แก่ ปัจจัยต่างประเทศ คือ ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ โดยตลาด Fed funds futures ล่าสุด ให้น้ำหนัก 60.5% ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 75bps. และ 39.5% คาดว่าเฟดจะขึ้น 50bps. ในการประชุมเดือน ก.ย.  

ส่วนในประเทศปัจจัยกดดันตลาดหุ้นหลักๆ คือ ประเด็นการเมือง หลังจากนายกฯ ประยุทธ์ ถูกสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ โดยต้องรอติดตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญภายในเดือน ก.ย. 

KS ประเมินในช่วงนี้จะเกิด overhang กับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือสัมปทานรัฐ เช่น กลุ่มรับเหมา, ขนส่งทางราง, โรงไฟฟ้า, และสื่อสาร  จากความเสี่ยงเรื่องการยุบสภาทำให้ดีลต่างๆ เกิดความล่าช้า อย่างไรก็ตาม

ผลต่อตลาดหุ้นไทยประเมินผลกระทบจำกัด เพราะรัฐบาลได้ผ่านร่าง พรบ. งบประมาณปี 2566 แล้วจึงไม่มีผลกระทบหากมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ 

 

 

 

โดย KS ประเมินว่าหากมองข้ามไปถึงการเลือกตั้ง Sector ที่จะได้ประโยชน์ คือ กลุ่มที่เน้นบริโภคในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก, ร้านอาหาร, กลุ่มสื่อและกลุ่มการเงิน

ประเมินตลาดหุ้นไทย กรอบการเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 1,600 และ 1,666  จุด  หุ้นแนะนำ ได้แก่ CBG และ SAT  

 

CBG (ราคาพื้นฐาน 124.00 บาท) 

- จุดแข็งเรื่อง Branding ของเครื่องดื่มชูกำลัง

- การบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นจากการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น

- ยอดขายในต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นทั้งในกลุ่มประเทศ CLMV และจีน

- โอกาสขยายตลาดไปยังเวียดนาม  

- ส่วนฝั่งต้นทุนการผลิตเห็นสัญญาณผ่านจุดสุงสุดไปแล้ว และค่อยๆ ปรับตัวลดลง หลักๆ คือราคาอลูมิเนียม ซึ่งเป็นต้นทุนของบริษัทปรับลงนับจากจุดสูงของปีราว 30%  

 

SAT (ราคาพื้นฐาน 22.00 บาท)

- คาดแนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น ต้นทุนจะลดลงในไตรมาส 4/65 และคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นตามคำสั่งซื้อใหม่   

- SAT เป็นหุ้นที่มีสถานะ Net cash   

- ราคาหุ้นปรับฐานลงมาตอบรับข่าวร้ายไปมากแล้ว โดย 12M PER ปี 2565 อยู่ที่ -1 S.D. และราคานับตั้งแต่ต้นปี(ytd) ยัง laggard หรือ -15%ytd เทียบกับ AH -10%ytd, STANLY -2.2%ytd

 

ประเด็นเศรษฐกิจที่น่าติดตาม

- 29 ส.ค. : ดัชนีธุรกิจภาคการผลิตของธนาคารกลางรัฐดัลลาสของสหรัฐ (ส.ค.)

- 30 ส.ค. : อัตราการว่างงานของญี่ปุ่น เดือน (ก.ค.) ตลาดคาด 2.5% ชะลอจาก 2.6% ในเดือน (มิ.ย.), รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากซีบี (CB Consumer Confidence) ของสหรัฐ (ส.ค.) ตลาดคาด 98.2 จุด เพิ่มขึ้นจาก 95.7 จุด, ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTs (ก.ค.) ของสหรัฐ ตลาดคาด 11 ล้านคน

- 31 ส.ค. : ดัชนี Composite PMI ของจีน (ส.ค.), ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน (ส.ค.) ตลาดคาดเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 50.4 จุด, สินค้าคงคลังน้ำมันดิบสหรัฐ

- 1 ก.ย. : ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนจากสถาบัน Caixin (ส.ค.), การเปลี่ยนแปลงในการจ้างงานภาคนอกภาคเกษตรกรรมจากเอดีพี (ADP) ของสหรัฐ (มิ.ย.) ตลาดคาด 2 แสนราย, ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากสถาบันไอเอสเอ็มของสหรัฐ (ISM) (ส.ค.) ตลาดคาด 52.6 จุด

- 2 ก.ย. : การจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐ (ส.ค.) ตลาดคาด 2.9 แสนราย และอัตราการว่างงาน (ส.ค.) ตลาดคาด 3.5%