จีนเปิดประเทศกับโอกาสคว้ากำไรหุ้นกลุ่ม Well-being
ธีมการลงทุนในปี 2023 นี้ ประเด็นการเปิดประเทศของจีน ทำให้การลงทุนในกลุ่มหุ้นหรือกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่คำนวณในดัชนี SET Well-being
ประเด็นการเปิดประเทศของจีน ถือเป็นสัญญาณการเข้าลงทุนที่ดีสำหรับผู้ที่รอลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศย่อมหนีไม่พ้นกลุ่มการบริโภคที่ได้รับประโยชน์โดยตรง เช่น ร้านอาหาร ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมไปถึงการซื้อรถยนต์ เป็นต้น เพราะคนจีนจะสามารถทำกิจกรรมภายนอกที่อยู่อาศัยได้ตามปกติแล้ว และกลุ่มธุรกิจสุขภาพ เช่น ผู้ผลิตยารักษาโรค ผู้ผลิตวัคซีน เพื่อสนับสนุนการป้องกัน และรักษา COVID-19 เมื่อเปิดประเทศ เป็นต้น
นอกจากตลาดหุ้นจีนแล้ว ยังถือเป็นโอกาสลงทุนที่ดีสำหรับตลาดหุ้นไทยเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศไทยช่วงก่อนภาวะโรคระบาด รายได้จากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็น 12% ของ GDP ประเทศไทย เมื่อปี 2019 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมาต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดโรคระบาด ทำให้ทั้ง 2 ประเทศต่างจำเป็นต้องปิดประเทศ และ GDP ประเทศไทยหดตัวต่อเนื่องถึง 5 ไตรมาสติดต่อกัน ถือเป็นการหดตัวที่ยาวนานนับตั้งแต่เหตุการณ์ต้มยำกุ้งจนมาถึงปัจจุบันแม้ว่าหลายประเทศยังมีการเดินทางเข้ามาประเทศไทยเป็นระยะหลังจากที่ประเทศไทยมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัวตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2565 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็ยังไม่กลับมาเติบโตเทียบเท่ากับระดับสูงสุดที่ก่อนเกิดภาวะโรคระบาด เนื่องจากประชากรจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวและเป็นรายได้หลักของไทยยังไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เห็นได้ชัดจากจำนวนนักท่องในปี 2022 นี้ ที่เดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 10 ล้านคน ต่ำกว่าช่วงก่อนโรคระบาดถึง 70% ดังนั้น เมื่อประเทศจีนประกาศผ่อนคลายให้สามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว ประเทศไทยย่อมได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเยือนเพิ่มขึ้น ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเข้ามาปี 2023 ราว 22 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี 2022
สำหรับกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะทยอยเดินทางเข้าประเทศไทยปลายปีนี้ อย่างเช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และบริการการแพทย์ ซึ่งในปัจจุบันตลาดหุ้นไทยได้จัดทำดัชนี SET Well-being โดยเป็นดัชนีที่สร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนการเคลื่อนไหวของกลุ่มหลักทรัพย์ 30 หลักทรัพย์ใน 7 หมวดธุรกิจที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและเป็นธุรกิจที่ผู้ลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้มีผลต่อการขยายตัวของ GDP และนำมาสู่การสร้างรายได้แก่คนในประเทศและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย ได้แก่ หมวดธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) หมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) หมวดธุรกิจแฟชั่น (Fashion) หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) หมวดธุรกิจการแพทย์ (Health Care Service) หมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ (Tourism & Leisure) และหมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) ซึ่งจะเห็นว่าทุกธุรกิจได้ประโยชน์จากแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ทั้งสิ้น ขณะที่ดัชนี SET Index ที่มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจพลังงาน และธนาคารเป็นหลักรวมกันถึง 25% อาจไม่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการเปิดประเทศ และมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือถดถอยอีกด้วย
ส่วนในด้านการเติบโตของกำไร เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่าง SET Index กับ SET Well-being อ้างอิงคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ Bloomberg ระบุว่า การเติบโตของกำไรปี 2023 ในหุ้นกลุ่ม Well-being ที่ +15.14% ต่างจาก SET Index ที่มีโอกาสหดตัว -1.9% เห็นได้ชัดว่า นักวิเคราะห์มองถึงโอกาสการเติบโตของหุ้นที่อยู่ในดัชนี Well-being ที่จะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่จะกลับมาเยือนประเทศไทย
ธีมการลงทุนในปี 2023 นี้ ประเด็นการเปิดประเทศของจีน ทำให้การลงทุนในกลุ่มหุ้นหรือกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่คำนวณในดัชนี SET Well-being มีความน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพการแข่งขัน และเป็นธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากกระแสนักท่องเที่ยวจีนที่คาดว่าเร่งตัวขึ้นมาต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้กำไรของบริษัทเหล่านี้มีโอกาสเติบโตได้โดดเด่นกว่าตลาด ซึ่งจะสามารถสร้างกำไรจากการลงทุนที่โดดเด่นให้กับนักลงทุนด้วยเช่นกัน
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ CFP® Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้