เปิดประสบการณ์จริง ! ‘เสี่ยป๋อง’ หนึ่งในนักลงทุนที่เคย ‘ขาดทุน’ STARK
เสน่ห์ของ “หุ้น STARK” เคยทำให้นักลงทุนรายใหญ่อย่าง “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” หลงกระโดดเข้าลงทุนมาแล้ว ! แต่เมื่อสัญญาณเทคนิคหุ้นบอกให้ “ขายทิ้ง” ไม่รอช้าตัดสินใจเชื่อกราฟยอมตัดขายทั้งๆ ที่ “ขาดทุน”
กรณีของ บริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่สร้างบทเรียนให้วงการตลาดทุนไทยอย่างเจ็บปวด ! ทั้งนักลงทุนสถาบันในและต่างประเทศ-นักลงทุนทั่วไป (รายย่อย) และนักลงทุนรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดหุ้นมายาวนานอย่าง “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” นักลงทุนรายใหญ่สไตล์เทคนิค เจ้าของพอร์ตลงทุนระดับ “พันล้าน” ยังไม่รอด !! เคยหลงเข้าไปลงทุนมาแล้ว ด้วยภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่าง “สวยหรู”
“เสี่ยป๋อง” บอกว่า เคยเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ผ่านการเข้าถือหุ้น STARK มาแล้ว ! ในช่วงที่บริษัทมีสตอรี่ที่น่าสนใจจากการประกาศเข้าซื้อหุ้น “LEONI Kabel GmbH” และ “LEONIsche Holding Inc” ผู้ผลิตสายไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ และ EV charging solutions อันดับ 1 ของโลกสัญชาติเยอรมัน ในสัดส่วน 100% มูลค่าการลงทุน 2 หมื่นล้านบาท...
ยอมรับว่าตอนนั้น “หุ้น STARK” มีเสน่ห์และน่าสนใจมาก จะไม่น่าสนใจยังไง ? เมื่อบริษัทคนไทยจะมีการเข้าลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก อย่าง LEONI และในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกอีกด้วย อนาคตสดใสเห็นๆ
ดังนั้น เมื่อบริษัทมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,500,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ในราคาหุ้นละ 3.72 บาท ตนเองก็เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่เข้าไปจองซื้อหุ้น PP แต่ซื้อไม่ได้เต็มก่อน ! และต่อมาพบว่ามีนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 12 ราย เป็นผู้จองซื้อหุ้น PP จำนวนดังกล่าวไปเต็มแล้ว
ยังไม่หยุดความพยายาม ! “เสี่ยป๋อง” บอกว่า เมื่อจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP ไม่ได้ ! ก็มาไล่ซื้อหุ้น STARK ในตลาดแทนก็ได้ ก็ซื้อไปในราคาหุ้นละ 3.80 บาท ซึ่งเป็นราคาที่แพงกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุน PP ก็ยอมซื้อ !! โดยเข้าซื้อเมื่อช่วงต้นเดือนต.ค. 2565 ช่วงมีสตอรี่ใหม่ที่บริษัทประกาศเข้าซื้อหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกเบอร์นั้นใครจะไม่ซื้อหุ้นบ้าง
ทว่า หลังจากนั้นไม่นานสัญญาณกราฟทางเทคนิคหุ้น STARK บอกให้ “ขาย” ตอนนั้นยอมรับยัง “งงๆ” ทำไมกราฟให้ขายทั้งๆ ที่ทุกอย่างสวยหรูไปหมด แต่ที่สอดคล้องกับสัญญาณกราฟให้ขายคือ ราคาหุ้น STARK ที่ปรับตัวลงมาเรื่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ และด้วยสไตล์การลงทุนของตนเองที่ยึดมาตลอดการลงทุนที่ผ่านมาคือ “เมื่อสัญญาณกราฟบอกให้ขายตนเองก็ตัดสินใจขายทิ้งทั้งหมด” แม้จะ “ขาดทุนก็ต้องขาย" โดยมาขายหุ้นที่ราคา 3.40 บาท จากต้นทุน 3.80 บาท !
หลังจากนั้นช่วงเดือนธ.ค. บริษัทก็มีการประกาศล้มดีลซื้อหุ้น LEONI โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์บริษัท LEONI เปลี่ยนไป การลงทุนมีความเสี่ยง และหลังจากนั้นราคาหุ้น STARK ก็ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนบริษัทจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไม่สามารถส่งงบการเงินประจำปี 2565 ได้
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ STARK วันนี้ ! ยอมรับว่ายังไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะสร้างความเสียหายในตลาดหุ้นมากขนาดนี้ ย้อนกลับไปตอนที่สัญญาณกราฟบอกให้ขาย ก็นึกดีใจที่ตอนนั้นตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้งหมด แม้จะขาดทุนระดับหลัก “สิบล้าน” ก็ยังดีกว่าไม่เหลืออะไรเลย !