ปัจจัยลบฉุดกำลังซื้อ "ไทยเที่ยวนอก" Q4 ฝืด! "ทีทีเอเอ" คาดอีก 3 ปีฟื้น 100%
สถานการณ์ตลาด “คนไทยเที่ยวต่างประเทศ” ในไตรมาส 4 นี้ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซันมีแนวโน้มฝืดจัด เพราะภาพรวมการฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 แล้ว พบว่ายังมีสารพัด “ปัจจัยลบ” รุมเร้า! แม้จะมีปัจจัยบวกเรื่อง “ญี่ปุ่น” และ “ไต้หวัน” เพิ่งประกาศคลายล็อก ให้ฟรีวีซ่าแก่คนไทยก็ตาม
โดย ญี่ปุ่น ประกาศผ่อนคลายมาตรการต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่า ไม่ต้องผ่านทัวร์ ไม่จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป ขณะที่ ไต้หวัน ประกาศฟรีวีซ่าแก่คนไทย พำนักได้นาน 14 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.นี้ เบื้องต้นจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค.2566 ซึ่งเป็นการต่อนโยบายฟรีวีซ่าที่ทางไต้หวันพิจารณาเป็นรายปีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีแผนจะยกเลิกการกักตัวนักท่องเที่ยว และยกเลิกการไม่รับกรุ๊ปทัวร์ จะมีผลบังคับใช้ประมาณวันที่ 13 ต.ค.2565 เป็นต้นไป ซึ่งต้องรอข้อสรุปอย่างเป็นทางการอีกที
เจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สารพัดปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของตลาด “ไทยเที่ยวนอก” ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ มีทั้งเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ “เงินบาทอ่อนค่า” อยู่ที่ระดับ 37-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ภาวะ “กำลังซื้อหดตัว” จากปัญหาเงินฝืดและเงินเฟ้อ ค่าครองชีพในประเทศจุดหมายปลายทางปรับสูงขึ้น ทำให้ดีมานด์การเดินทางยังไม่กลับมาหนาแน่นเท่าที่ควร คาดไปกระจุกตัวแค่ที่ “ญี่ปุ่น” เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่อง “ความมั่นคงทางรายได้” หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 และ “ซัพพลายสินค้าการท่องเที่ยว” ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ เช่น ปริมาณที่นั่งผู้โดยสาร ทำให้ราคาสินค้าท่องเที่ยวแพงขึ้นเท่าตัวหรือ 100% อย่างเช่นยุคก่อนโควิด-19 การไปเที่ยวญี่ปุ่น มีเงินในมือ 25,000 บาทก็เที่ยวได้แล้ว แต่ปัจจุบันไม่ใช่ ต้องมีเงินอย่างน้อย 40,000 บาทขึ้นไป เพราะแค่ค่าตั๋วเครื่องบินก็แพงขึ้น ปาเข้าไปที่ระดับ 20,000-30,000 บาทแล้ว ขณะที่ตลาดคนไทยเที่ยวยุโรป ค่าแพ็คเกจท่องเที่ยวแพงขึ้น 100% บางเส้นทางแพงขึ้นถึง 150% เช่น อังกฤษ ค่าแพ็กเกจท่องเที่ยวปัจจุบันอยู่ที่ 1 แสนบาท ต่างจากเมื่อก่อน มีเงิน 40,000 บาทก็เดินทางได้แล้ว แต่ตอนนี้หมดสิทธิ์!
“จากกระแสตอนนี้ การท่องเที่ยวญี่ปุ่นและไต้หวันดูเหมือนจะตื่นเต้นและหวือหวา เพราะเพิ่งประกาศผ่อนคลายให้ฟรีวีซ่าแก่คนไทย แต่สมาคมฯคาดการณ์ว่าตัวเลขการเดินทางจริงในไตรมาส 4 นี้ยังน้อยนิด ไม่ได้คึกคักอย่างที่คิด อยู่ในช่วงเพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ที่เคยฉุดยอดเป็นศูนย์”
แม้ว่าขณะนี้ ตลาด “คนไทยเที่ยวญี่ปุ่น” จะมีปัจจัย “เงินเยนอ่อนค่า” ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 26 บาทต่อ 100 เยนก็ตาม ถ้าเป็นในยุคก่อนโควิด-19 จะส่งผลบวกโดยตรง ทำให้คนไทยตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นทันที แต่ไม่ใช่กับยุคหลังโควิด เงินเยนอ่อนค่าไม่ได้สนับสนุนภาพรวมการเดินทางไปญี่ปุ่นทั้งหมด เพราะยังมีปัจจัยลบอื่นๆ มากระทบ ทั้งเรื่องปัญหากำลังซื้อและต้นทุนค่าใช้จ่ายเดินทางสูงขึ้นเป็นทวีคูณ!
พอรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมคนไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.นี้เป็นต้นไป พบว่าค่าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้นทันที 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด เพื่อรองรับดีมานด์การเดินทาง จากก่อนหน้านี้ที่ราคาแพงกว่าเดิมอยู่แล้ว 30% ขณะที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริษัททัวร์ต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือนในการจัดเตรียมซัพพลาย เร็วสุดคือเดือน ธ.ค. พร้อมจริงๆ คือไตรมาส 1 ปี 2566 ถึงจะเห็นการฟื้นตัวเป็นรูปธรรม
“สมาคมฯคาดว่าเฉพาะไตรมาส 4 นี้ จะมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น 1-1.5 แสนคน ทำให้ตลอดปี 2565 มีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นใกล้เคียง 2 แสนคน ยอดการเดินทางยังห่างจากปี 2562 ที่มีจำนวนคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเฉลี่ย 1 แสนคนต่อเดือน”
ทั้งนี้ สมาคมฯคาดการณ์ว่าตลอดปี 2565 ตลาดคนไทยเที่ยวต่างประเทศจะมีจำนวนใกล้เคียง 3 แสนคน คิดเป็นการฟื้นตัวราว 3% เท่านั้น เมื่อเทียบกับฐานคนไทยเที่ยวต่างประเทศปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดซึ่งมีจำนวนถึง 11 ล้านคน มูลค่าการใช้จ่ายรวมกว่า 3.3 แสนล้านบาท
ขณะที่ปี 2566 ผู้ประกอบการบริษัททัวร์มองว่าต้องติดตามสถานการณ์ในไตรมาส 1 ปีหน้าว่าพัฒนาการฟื้นตัวเป็นไปในทิศทางใด และรอให้ปัจจัยลบต่างๆ ถูกแก้ไข! เช่น เงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็น 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีปริมาณเที่ยวบินและที่นั่งผู้โดยสารกลับมาปกติ เพื่อปรับฐานราคาตั๋วเครื่องบินเฉลี่ยให้ต่ำลง โดยคาดหวังว่าปีหน้าตลาดคนไทยเที่ยวต่างประเทศจะฟื้นตัวเพิ่มเป็น 2-3 ล้านคน และน่าจะใช้เวลาอีก 3 ปีนับจากนี้ถึงจะฟื้นตัว 100% เท่ากับปี 2562
“ภาพรวมตลาดคนไทยเที่ยวนอก จะรอแค่ตลาดไทยเที่ยวญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรอตลาดไทยเที่ยวจีน เกาหลี และไต้หวันด้วย เพราะ 4 ตลาดหลักดังกล่าวครองส่วนแบ่งตลาดติด 6 อันดับแรกของตลาดคนไทยเที่ยวนอกเมื่อปี 2562”
เฉพาะตลาดไทยเที่ยวญี่ปุ่น ครองอันดับ 3 ของตลาดไทยเที่ยวนอกทั้งหมด ด้วยจำนวน 1.3 ล้านคน รองลงมาอันดับ 4 ไทยเที่ยวจีน 6 แสนคน โดยต้องจับตาผลการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือน ต.ค.นี้ ว่าจะมีการผ่อนปรนมาตรการให้คนจีนออกเดินทางไปต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน ส่วนอันดับ 5 ไทยเที่ยวเกาหลี 5-6 แสนคน และอันดับ 6 ไทยเที่ยวไต้หวัน 4 แสนคน เป็นรองตลาดไทยเที่ยวมาเลเซียและ สปป.ลาว ซึ่งมีจำนวนคนไทยไปเที่ยวมากที่สุด 2 อันดับแรก ด้วยจำนวนเกือบ 3 ล้านคน และ 1.6 ล้านคนตามลำดับ