ขุมทรัพย์ "จีนเที่ยวไทย" ปีนี้แตะ 8 ล้าน! ททท. ชี้แรงส่งดี ลุ้นเพิ่มเที่ยวบิน
ภายหลังกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวจัด “กรุ๊ปทัวร์” นำ “นักท่องเที่ยวจีน” เดินทางออกเที่ยวต่างประเทศได้ เริ่มต้นนำร่องใน 20 ประเทศแรก โดยประเทศไทยติดลำดับที่ 1 จากรายชื่อ 20 ประเทศดังกล่าว มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.2566 เป็นต้นไป
วานนี้ (6 ก.พ.) “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และสายการบินสปริงแอร์ไลน์ส จัดพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์คณะแรก บินตรงเส้นทาง กว่างโจว-กรุงเทพฯ ด้วยสายการบินสปริงแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน 9C7419 จำนวน 2 คณะ รวม 40 คน ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) มีจำนวน 90 คน จากความจุผู้โดยสาร 180 ที่นั่ง
นอกจากเที่ยวบินดังกล่าวจากกว่างโจวแล้ว ยังมีเที่ยวบินของสายการบินอื่นๆ รวมทั้งหมด 14 เที่ยวบินเฉพาะวันที่ 6 ก.พ. แบ่งเป็นเดินทางจากปักกิ่ง 1 เที่ยวบิน, เซี่ยงไฮ้ 6 เที่ยวบิน, กว่างโจว 2 เที่ยวบิน ส่วนเซียะเหมิน, เฉิงตู, หนานจิง, หนานหนิง และเหอเฝย์ เมืองละ 1 เที่ยวบิน ทยอยเข้ามายังสนามบินหลัก 3 แห่ง ได้แก่ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และภูเก็ต โดยมีผู้โดยสารรวมประมาณ 2,100 คน แบ่งเป็นกรุ๊ปทัวร์ 600 คน และ FIT อีก 1,500 คน
ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ททท.ปรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยตลอดปี 2566 ขยับเพิ่มเป็นอย่างน้อย 7-8 ล้านคน จากก่อนหน้านี้วางเป้าหมายมีไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ซึ่งขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของ “จำนวนเที่ยวบิน” เส้นทางไทย-จีน ทั้งตารางบินฤดูร้อน 2566 และตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 ประกอบกับตลาดจีนไม่ได้มีฤดูกาลท่องเที่ยวชัดเจนเหมือนตลาดระยะไกล ใช้เวลาทำการบินเพียง 3-6 ชั่วโมง นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีรายชื่อติดในกลุ่ม 20 ประเทศแรกที่รัฐบาลจีนอนุญาตให้จัดกรุ๊ปทัวร์มาได้
“จากคาดการณ์แนวโน้มการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน 7-8 ล้านคนในปีนี้ ทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้มีแนวโน้มใกล้เคียง 30 ล้านคน ในกรณีดีที่สุดสามารถสร้างรายได้รวมจากทั้งตลาดในและต่างประเทศ 2.38 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 80% ของรายได้รวมฯเมื่อปี 2562”
เมื่อดูสถิติ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เดินทางเข้าไทยตลอดเดือน ม.ค. 2566 พบว่ามีจำนวนสะสม 2,088,832 คน มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 257,684 คน ส่วนอันดับ 2 รัสเซีย 202,642 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้ 168,605 คน อันดับ 4 อินเดีย 101,343 คน และอันดับ 5 จีน 91,080 คน ซึ่งพุ่งขึ้นมา “ติด 5 อันดับแรก” หลังจากรัฐบาลจีนเปิดประเทศ ยกเลิกมาตรการกักตัวขาเข้า มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 เป็นต้นไป ทำให้นักท่องเที่ยวจีนกลุ่ม FIT เดินทางเข้าไทยมากขึ้น แม้จะยังไม่มีกรุ๊ปทัวร์จีนเดินทางเข้ามาเติม
“เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามากว่า 2 ล้านคน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2562 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเกือบ 40 ล้านคน เฉลี่ยเดือนละกว่า 3 ล้านคน แสดงว่าตอนนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติตลาดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาวจีน กลับมาเที่ยวไทยกันหมดแล้ว หรือฟื้นตัวใกล้เคียง 80-90% เมื่อเทียบกับภาวะปกติ ส่วนตลาดจีนแม้ยังไม่กลับมาเต็มที่ แต่ก็เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี ต้องจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวตั้งแต่เดือน ก.พ.-มี.ค.นี้เป็นต้นไป”
การกลับมาของตลาดนักท่องเที่ยวจีน นับเป็นสัญญาณบวกและมีนัยยะสำคัญต่อการฟื้นตัวของ “เศรษฐกิจไทย” ในภาพรวม ถือเป็น “ความท้าทาย” ของ ททท.ในปีนี้ โดยจากสถิติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 2 ก.พ.2566 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทย จำนวน 99,429 คน และในไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.2566 มีจำนวนเที่ยวบินและที่นั่งโดยสารจากสนามบินในเมืองต่างๆ ของประเทศจีนมายังประเทศไทย อาทิ เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หางโจว หนานจิง เฉิงตู เซียะเหมิน คุนหมิง เป็นต้น รวมทั้งสิ้น 2,000 เที่ยวบิน จำนวน 445,655 ที่นั่ง ซึ่ง ททท.คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยในไตรมาสแรก จำนวนไม่น้อยกว่า 300,000 คน
ยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากรัฐบาลจีนประกาศอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวจัดกรุ๊ปทัวร์ พาชาวจีนออกเที่ยวต่างประเทศได้ ปัจจุบันสายการบินต่างๆ ได้เร่งเพิ่มเที่ยวบินเส้นทางไทย-จีน จากเดิมที่ค่อนข้างมีจำกัด โดยในช่วงตารางบินฤดูร้อน 2566 (ตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน มี.ค. จนถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ต.ค.) ทางสายการบินฝั่งจีนได้ขอ “สลอตการบิน” หรือ เวลาทำการบิน คืนทั้งหมดแล้ว
“การขออนุญาตกลับมาทำการบินเส้นทางไทย-จีน ทางสายการบินต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐของทั้ง 2 ประเทศ โดยต้องไม่ลืมว่าจีนเพิ่งเปิดประเทศ ยังมีมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 กำหนดให้ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศจีน เป็นเวลา 48 ชั่วโมง โดยทางการจีนน่าจะดูว่าเมื่อผ่อนคลายให้ชาวจีนออกไปเที่ยวต่างประเทศแล้ว จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์แพร่ระบาดหรือไม่ ถ้าไม่มีการระบาดซ้ำหรือสามารถควบคุมโรคได้ คาดว่าน่าจะมีการอนุมัติให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินได้มากขึ้น”