'พิธา' หนุน 'ท่องเที่ยว' ควิกวินเศรษฐกิจ พร้อมประกาศ 'ไทยคัมแบ็ก!' บนเวที UN
'พิธา' หนุน 'ภาคท่องเที่ยว' ควิกวินเศรษฐกิจไทย เผยจะใช้เวทีสหประชาชาติ ก.ย.66 ประกาศชัด "ประเทศไทยกลับมาแล้ว" พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของเวทีโลก ด้านประเด็นภาคเอกชนชงเป็น 'แบรนด์แอมบาสเดอร์' ท่องเที่ยวไทย ระบุ "ถึงไม่แต่งตั้ง นายกฯก็มีหน้าที่ดูแลการท่องเที่ยวอยู่แล้ว"
วานนี้ (31 พ.ค.) ในการประชุมหารือร่วมกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และว่าที่นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมดังกล่าว ซึ่งมี กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมประชุมในฐานะรองประธานกรรมการหอการค้าไทยด้วย ได้หารือกันถึงประเด็นการใช้ “ภาคการท่องเที่ยว” เป็น “ควิกวิน” (Quick Win) กระตุ้นเศรษฐกิจ!
เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวไทยยังมีปัญหาในแง่ “การกระจุกตัว” ของนักท่องเที่ยวอยู่มากพอสมควร สะท้อนจากสัดส่วนประมาณ 70% ของรายได้ภาคการท่องเที่ยวทั้งหมด กระจุกอยู่ใน 5 จังหวัดท่องเที่ยวหลักเท่านั้น อาทิ กรุงเทพฯ และชลบุรี จึงต้องการให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งการดึงดูดให้อยู่ท่องเที่ยวไทยนานขึ้น ใช้เงินมากขึ้น และเกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ทั้งนี้ ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ สิ่งแรกที่จะทำเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวคือ จะใช้ “เวทีสหประชาชาติ” เดือน ก.ย. ณ มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เพื่อประกาศบนเวทีโลกว่า “ประเทศไทยกลับมาแล้ว” และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของเวทีโลก
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการจัดทำ “พรบ. โฮมสเตย์” เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทย มีตัวเลือกในการเข้าพักมากขึ้น โดยทาง กอบกาญจน์ อดีต รมว.การท่องเที่ยวฯ ได้แนะนำถึงแนวทางการทำให้ “เมืองรอง” มีความคึกคักมากขึ้นด้วย
สำหรับประเด็นที่ภาคเอกชนท่องเที่ยวเสนอให้ พิธา เป็น “แบรนด์แอมบาสเดอร์” ภาคท่องเที่ยวไทยนั้น จะขานรับตำแหน่งนี้หรือไม่? ทาง พิธา ระบุว่า “ถึงไม่มีการแต่งตั้ง นายกฯก็มีหน้าที่ดูแลการท่องเที่ยวอยู่แล้ว”
ส่วนการจัดทำ “คูปองเมืองรอง” ถือเป็นไอเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเหมือนในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ที่มีการจัดทำตั๋วเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยถือเป็นอำนาจของ รมว.การท่องเที่ยวฯ ว่าจะทำหรือไม่ทำ และแม้ไม่ได้อยู่ใน 300 นโยบายหลักของพรรคก้าวไกล แต่หากจะมีการทำคูปองเมืองรอง ก็ไม่ขัด
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีประชุมเตรียมการจัดทำแผนการตลาดปี 2567 ของ ททท. ทุกคนต่างโฟกัสไปที่ภาพสุดท้ายในปีหน้า ความกดดันของ ททท.คือการฟื้นรายได้รวมการท่องเที่ยวให้กลับมา 100% อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท เท่ากับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด
“ในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2567 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของภาคท่องเที่ยวไทยจากวิกฤติโควิด-19 ซึ่งต้องฟื้นฟูรายได้รวมให้กลับมา 50% ในปี 2565 จากนั้นเพิ่มเป็น 80% ในปี 2566 และกลับมาให้ได้ 100% ในปี 2567”
ทั้งนี้ ในช่วง “เปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่” ททท.มีความเป็นมืออาชีพสูง สามารถทำงานได้กับทุกพรรค และเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จ ทาง ททท.มีแผนการตลาดปี 2567 ที่จะนำเสนอต่อ รมว.การท่องเที่ยวฯ ว่าจะทำการตลาดแบบไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบมีความหมาย (Meaningful Travel) ด้วยการชูซอฟต์พาวเวอร์ 5F (Food, Film, Fashion, Fight และ Festival)
“ททท. จะมีการประชุมเพื่อจัดทำแผนการตลาดและแถลงแผนปี 2567 ในเดือน มิ.ย.นี้ ซึ่งต้องเป็นแผนที่มีความยืดหยุ่นและอ่อนตัวสูง ให้สอดรับกับนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯคนใหม่ ว่าจะให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน”
ธเนศวร์ กล่าวด้วยว่า คาดการณ์ว่าภาคท่องเที่ยวไทยช่วง “ครึ่งปีหลัง” น่าจะมีลู่ทางสดใส! ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2566 มีจำนวนไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน โดยมีนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะสั้น ในเชิงจำนวนคิดเป็น 72% ของจำนวนทั้งหมด ส่วนในเชิงรายได้คิดเป็น 62% ของรายได้ตลาดต่างประเทศ
ผู้เล่นสำคัญของตลาดระยะสั้นคือ “นักท่องเที่ยวจีน” ซึ่ง ททท.ต้องผลักดันให้ได้ 5 ล้านคนในปีนี้ โดยในเดือน มิ.ย.นี้ เห็นปริมาณเที่ยวบินเส้นทางระหว่างไทย-จีนหนาตาขึ้น! ฟื้นตัวเกิน 90% ขณะที่นักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นตลาดสำคัญเช่นกัน ตั้งเป้าปีนี้ไว้ที่ 4 ล้านคน รองลงมาคืออินเดีย 2 ล้านคน และเกาหลีใต้ ปีนี้เป็นตลาดที่มาแรงมากๆ ตั้งเป้าแตะ 1 ล้านคน หลังปริมาณเที่ยวบินกลับมาปกติแล้ว
ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา ททท. กล่าวว่า ด้านนักท่องเที่ยวจาก “ตลาดระยะไกล” เป้าหมายรวมปีนี้อยู่ที่ 7 ล้านคน แบ่งเป็นตลาดยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 6 ล้านคน หลังจาก 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวนสะสมแล้ว 50% หรือคิดเป็น 3 ล้านคน ขณะที่ตลาดอเมริกา ตั้งเป้าไว้ 1 ล้านคน ช่วง 5 เดือนแรกกลับมาแล้ว 50% เช่นกัน หรือคิดเป็น 5 แสนคน