‘จีน-ฮ่องกง-ไต้หวัน’ แข่งเดือด ดันวีซ่าฟรี อัดโปรฯแรง ชิงนักท่องเที่ยวไทย!
หลังจากรัฐบาล 'ไทย-จีน' ได้ร่วมลงนาม 'ความตกลงยกเว้นวีซ่า' เมื่อวันที่ 28 ม.ค. จุดกระแสความสนใจตลาด 'คนไทยเที่ยวต่างประเทศ' ซึ่งมีขนาด 11-12 ล้านคนเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด มูลค่าการใช้จ่ายสะพัดกว่า 3-4 แสนล้านบาท
Key Points
- ปัจจัยสนับสนุนจากนโยบาย "ไทย-จีน" ยกเว้นวีซ่าระหว่างกันถาวร คือผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ สามารถเดินทางระหว่างกันได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน และรวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2567 เป็นต้นไป จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการเดินทางระหว่างสองประเทศ
- สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ประเมินว่าปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเยือน "จีน" กว่า 7-8 แสนคน
- องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของทั้งฝั่ง "ฮ่องกง - ไต้หวัน" ต่างผนึกภาคเอกชน รุกทำตลาดแข่ง อัดโปรโมชันแรง ดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวไทย
คาดปี 67 คนไทยตบเท้า 'เที่ยวจีน' กว่า 7-8 แสนคน
เจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวว่า จากปัจจัยสนับสนุน ไทย-จีน ยกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) ระหว่างกัน น่าจะทำให้ภาพรวมตลาด “ไทยเที่ยวจีน” ปี 2567 มีจำนวน 7-8 แสนคน เติบโตจากปี 2562 ซึ่งมีประมาณ 6 แสนคน
สมาคมฯ ประเมินว่าแพ็กเกจทัวร์เที่ยวจีนราคาเกือบ 2 หมื่นบาท สำหรับเดินทาง 5 วัน 4 คืน จะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะเส้นทางสู่เฉิงตู และฉงชิ่ง เพื่อไปเยือนจิ่วจ้ายโกว หลังจากประเทศจีนได้ให้ความสำคัญ เร่งพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศ
'แอร์เอเชีย' ลุยเปิดเส้นทางใหม่ ดอนเมือง-ปักกิ่ง
สันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า การลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่าดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่รอคอยอย่างมาก ทำให้คนไทยสามารถบินเข้าประเทศจีนได้แบบไม่ต้องมีวีซ่า เพิ่มความสะดวกและช่วยลดค่าใช้จ่าย เชื่อว่าจะกระตุ้นการเดินทางและเศรษฐกิจท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศได้เป็นอย่างดี
“จีนถือเป็นประเทศที่ครบทั้งประวัติศาสตร์ ความยิ่งใหญ่อลังการของสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ คุ้มค่ากับการไปสัมผัส แหล่งชอปปิงเสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูก และเสน่ห์ของจีนสมัยใหม่ที่มีนวัตกรรมและความทันสมัยสุดชิค”
ทั้งนี้ แอร์เอเชียยังมีเเผนเพิ่มเส้นทางใหม่ อาทิ ดอนเมือง-ปักกิ่ง รวมทั้งความถี่เที่ยวบินเส้นทางไทย-จีนอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันให้บริการสู่ 11 จุดหมายในประเทศจีน ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เซินเจิน เฉิงตู ฉางซา คุนหมิง ฉงชิ่ง ซีอาน หางโจว อู่ฮั่น และซัวเถา สอดรับกับปริมาณการเดินทางที่สูงขึ้น พร้อมชูจุดเด่นบริการบินคุ้มราคาประหยัดเเละมาตรฐานความตรงต่อเวลา
'ฮ่องกง' อัดโปรโมชันแรง ผนึกเอกชนแจกตั๋วบินฟรี
ด้าน พจน์ ศกุนตะลักษณ์ ผู้จัดการการตลาด การท่องเที่ยวฮ่องกงประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2567 จะเป็นอีกปีที่ภาคการท่องเที่ยวของประเทศหรือจุดหมายปลายทางต่างๆ รุมแย่งชิง “นักท่องเที่ยวไทย” กันดุเดือดมาก โดยใช้เทคนิคคล้ายกัน นั่นคือการจัดโปรโมชันแรงๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยว ล่าสุดภาคเอกชนอย่าง “ห้างสรรพสินค้า K11 ฮ่องกง” ได้ร่วมกับสนามบินนานาชาติฮ่องกง ขายแพ็กเกจท่องเที่ยวมัดรวมเป็นเซ็ต (Bundle Deals) ราคาเริ่มต้นประมาณ 8,000 บาท โดยผู้ซื้อแพ็กเกจนี้จะได้รับตั๋วเครื่องบินฟรี สำหรับเดินทางไป-กลับ เส้นทาง กรุงเทพฯ-ฮ่องกง อีกด้วย
“ปี 2567 จึงถือเป็นอีกปีที่การท่องเที่ยวฮ่องกงต้องนำเสนอมุมมองและจุดขายใหม่ๆ ให้โดนใจตลาดคนไทย”
ทั้งการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ควบคู่กับการโปรโมตเส้นทางท่องเที่ยวสายมูและสายอาหาร รวมถึงการสร้างจุดแข็งด้วยการออกแคมเปญใหม่ ราคาดี แรง และโดนใจ! ภายใต้แคมเปญใหญ่ “Hello Hongkong” เพื่อต้อนรับการกลับมาอีกครั้งของนักท่องเที่ยว
“หลังจากรัฐบาล ไทย-จีน ได้ลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน มองว่านักท่องเที่ยวไทยน่าจะสนใจไปเที่ยวจีนมากขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งเราสามารถผลักดันให้ฮ่องกงเป็นฮับการเดินทางเข้าจีนได้ง่ายขึ้น เพราะมีจุดเชื่อมต่อทั้งทางรถยนต์ รถไฟความเร็วสูง เชื่อมระหว่างฮ่องกงกับเมืองหลักในประเทศจีน สามารถโปรโมตเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงฮ่องกง-จีนได้”
ทั้งนี้ “การท่องเที่ยวฮ่องกง” ตั้งเป้าหมายปี 2567 ดึงนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าฮ่องกง ไม่น้อยกว่า 5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอันดับ 1 ของตลาดอาเซียนที่ส่งออกนักท่องเที่ยวไปเยือนฮ่องกงสูงสุดคือ ฟิลิปปินส์ จำนวนราว 7 แสนคน รองลงมาอันดับ 2 คือไทย คาดปิดที่จำนวนรวม 4.5 แสนคน หลังจากช่วง 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยสะสม 3.8 แสนคน และเฉพาะเดือน ธ.ค. น่าจะเข้ามาอีกประมาณ 7 หมื่นคน ส่วนอันดับ 3 สิงคโปร์ คาดมีจำนวนรวม 4 แสนคน
อย่างไรก็ตาม จากเป้าหมายตลอดปี 2567 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนคนนั้น ยังไม่สามารถแซงสถิติปี 2561 ซึ่งมีคนไทยไปเที่ยวฮ่องกงกว่า 5.7 แสนคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ แต่ยังถือว่าดีกว่าปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด ซึ่งมีจำนวน 4.6 แสนคน
'ไต้หวัน' อัดแคมเปญชิงคนไทยเที่ยวปี 67
ฟาก โจว หย่ง ฮุย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการท่องเที่ยว กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารของไต้หวัน กล่าวว่า สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปี 2566 ไต้หวันได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทุกมุมโลก จากสถิติของ “การท่องเที่ยวไต้หวัน” พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไต้หวันมากกว่า 6 ล้านคน โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐ และสิงคโปร์ ตามลำดับ เป็นไปตามเป้าหมายการส่งเสริมผลักดันนโยบายและกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวไทยซึ่งเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายหลักได้เติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค. มีคนไทยเดินทางเข้าไต้หวัน 233,791 ราย สูงขึ้น 1.79% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนโควิด-19
ซินดี้ เฉิน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ กล่าวเสริมว่า ในปี 2566 นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของทางการท่องเที่ยวไต้หวัน หลังได้ผลตอบรับดีเกินคาดจากนักท่องเที่ยวไทย จากการผลักดันแคมเปญ “All is just right in Taiwan ทุกอย่างใช่ โดนใจที่ไต้หวัน” ซึ่งจากการสำรวจพบว่านักท่องเที่ยวไทยกว่า 70% นิยมเดินทางไปเที่ยวไต้หวันด้วยตัวเอง
สำหรับแลนด์มาร์กที่ได้รับความนิยมจากชาวไทยมากที่สุด ได้แก่ “ซีเหมินติง” หนึ่งในย่านชอปปิงและตลาดกลางคืนที่มีชื่อเสียงของไทเป “ทะเลสาบสุริยันจันทรา” ทะเลสาบน้ำจืดรายล้อมไปด้วยธรรมชาติแสนสวยงามและใหญ่ที่สุดของเกาะไต้หวัน “อาลีซาน” อุทยานแห่งชาติชื่อดังและเป็นขวัญใจของสายท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และ “อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ” สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพงดงามกว้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน
“ในปี 2567 การท่องเที่ยวไต้หวันยังคงมุ่งเน้นและจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์และดึงดูดให้ชาวไทยตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวในไต้หวันอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การประกาศขยายเวลายกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) สำหรับชาวไทย รวมถึง Travel Pass โครงการบัตรโดยสารดิจิตอล 3 in 1 ราคาพิเศษ และการโปรโมตภายใต้แคมเปญ Taiwan The Lucky Land”