ไม่ช้าเกินไป กู้ยอดขายคืน! นักการตลาดดัง เปิด 10 เทคนิคสร้างรายได้ให้ปัง
นักการตลาดดัง แนะ 10 เทคนิคสื่อสารแบรนด์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ร่วมเปลี่ยนลูกค้าทั่วไปสู่ลูกค้าประจำ สามารถกู้ยอดขายจากสุดพัง เปลี่ยนเป็นปังได้แน่นอน!
ดีเดย์อย่างเป็นทางการกับงาน AP Thailand presents CREATIVE TALK CONFERENCE 2024 “Creative Generation” งานใหญ่ประจำปี ที่มีนักการตลาดชั้นนำของประเทศไทย มาร่วมชี้เทรนด์การตลาด วิธีการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น ไปจนถึงเทรนด์เทคโนโลยี และเครื่องมือการตลาดใหม่ๆ โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย เพื่อร่วมนำพาธุรกิจไทยมุ่งสร้างธุรกิจให้สร้างสรรค์และโดดเด่น สามารถเติบโตท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว กุมชัยในทุกน่านน้ำ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายนนี้
“บังอร สุวรรณมงคล” ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮัมมิ่งเบิร์ด คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวในงาน “CREATIVE TALK CONFERENCE 2024” ใน Session: 10 เทคนิคสื่อสารเปลี่ยนสินค้าธรรมดาให้น่าซื้อ (Unique telling points: 10 communication techniques that change the way you sell) โดยได้นำเสนอ 10 วิธี เปลี่ยนสินค้าให้น่าซื้อมากที่สุด เพื่อร่วมเพิ่มลูกค้าและยอดขายในระยะยาว
ทั้งนี้ 10 เทคนิคสื่อสาร เปลี่ยนสินค้าธรรมดาให้น่าซื้อ Unique telling points ประกอบด้วย
1. Winning Zone
เริ่มจาก การวางกลยุทธ์ (Strategy) ต้องรวมทั้ง Competitive Advantage, Effectiveness = Impact , Direction for your team โดยต้องมุ่งนำเสนอ แนวทางสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (competitive advantage) เพื่อทำให้แบรนด์สินค้าและบริการ มีความโดดเด่นมากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ในตลาด
รวมถึงการเป็นแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพ และการมีวางแผนไดเรคชั่นในทีม โดยมีทีมที่ร่วมมือสร้างไปสู่ winning zone เพื่อทำให้เป็นผู้ชนะในตลาด
2. Buying point VS selling point
การพูดในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ ในมุมมองด้านสิทธิประโยชน์และข้อได้เปรียบของสินค้าและบริการ ไม่ใช่การนำเสนอในสิ่งที่ลูกค้าไม่สนใจ
ยกตัวอย่าง สินค้าเครื่องซักผ้า พนักงานขายควรนำเสนอในเรื่อง Buying point กับเทคโนโลนาโน ที่สามารถร่วมกำจัดสิ่งสกปรกออกจากผ้าได้ ช่วยกำจัดทุกคราบ และมีความสะอาด พร้อมถนอมเนื้อผ้าที่ลูกค้าต้องการ แต่ไม่ควรนำเสนอ Selling point หรือ ระบบปั่น 3 หมื่นรอบที่ลูกค้าอาจไม่สนใจ
3. Fulfill functional & emotional needs
การเข้ามาร่วมเติมเต็มในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความรักในแบรนด์ (Brand love) โดยเฉพาะการนำเสนอในด้านอารมณ์ (emotional needs) กับการสร้างคุณค่าในชีวิตที่ลูกค้าจะได้รับจากแบรนด์ พร้อมการนำเสนอเชิงเหตุ กับคุณสมบัติของสินค้าที่มีฟังก์ชั่นต่างๆ (fulfill functional)
ยกตัวอย่างแบรนด์ ไนกี้ ได้นำเสนอแคมเปญทั้งคุณสมบติของสินค้ารองเท้ากีฬา ที่มีความโดดเด่นด้านต่างๆ สำหรับนักวิ่ง และนักกีฬา และในเชิงอารมณ์กับ Just do it ที่โดนใจกลุ่มลูกค้า
4. Ultimate value optimization
การร่วมนำเสนอคุณค่าผลิตภัณฑ์ที่มีสูงสุด โดยมุ่งนำเสนอคุณค่าผลิตภัณฑ์ต่อลูกค้า สามารถใช้เทคนิค Laddering technique : Product to value Optimization ประกอบด้วย Ultimate value, emotional value, functional value, product Attribute โดยมาจากการทำอินไซด์จากความต้องการของกลุ่มลูกค้า มุ่งร่วมพูดคุยกับลูกค้า เพื่อค้นหาคำตอบสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด และมุ่งสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
5. Attacking soft spot
การโจมตีจุดอ่อนของคู่แข่ง หรือ การนำเสนอสิ่งที่คู่แข่งขาดในสินค้าหรือบริการ เพื่อสร้างความแตกต่างและจูงใจกลุ่มลูกค้า สามารถร่วมนำเสนอได้ทั้ง Social Impact ผลกระทบกับสังคม , Life Changing ผลกระทบกับชีวิต, Emotional คุณค่าเชิงอารมณ์, Functional คุณค่าการใช้งาน
6. Changing minds with new inputs
การสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้แก่ลูกค้า ที่ลูกค้าอาจไม่เคยได้รับหรือเป็นสิ่งที่ลูกค้ามองข้าม เพื่อทำให้สามารถกำหนดสินค้าและบริการที่มีราคาสูงได้ โดยไม่เน้นนำเสนอสินค้าในด้านที่มีราคาถูก เนื่องจากแนวทางการทำตลาดที่ดีคือ การสร้างคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์มาเป็นลำดับแรก
ยกตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์สำลีที่ใช้ล้างเครื่องสำอาง ควรมีการนำเสนอคุณสมบัติ ไม่อมน้ำ สามารถล้างเครื่องสำอางได้ง่าย แม้ว่าสินค้าอาจมีราคาแพงขึ้น แต่ประหยัดโทนเนอร์ขวดเป็นพันได้ เนื่องจากใช้โทนเนอร์ที่น้อยลง ชูคุณสมบัติของสินค้าที่แตกต่าง Price = perceive value
7. Competitive story telling
แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์เดียวกัน แต่สามารถสร้างคอนเทนต์ครีเอทีฟ ที่แตกต่าง จากคู่แข่งได้ แต่เป็นสิ่งที่เรียกความสนใจจากลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
ยกตัวอย่าง การนำเสนอสินค้าชุดไทยจากเพจขายเสื้อผ้า เจ้าของเพจ สามารถนำเสนอรายละเอียดผ่านแคปชั่นของนางแบบได้ว่า “แต่งตัวสวยเด่น เทวดาเห็นก่อน” เพื่อร่วมดึงดูดกลุ่มลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ซึ่งพบว่าผลิตภัณฑ์จากเพจนี้ มีผลตอบรับที่ดีมาก และสามารถสร้างยอดขายสูงมาก
8. Right message to the right segment
การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แบ่งตามเช็คเมนต์ของกลุ่มลูกค้า ที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ชีวิต ที่มีความต้องการ ความหวังแตกต่างกัน พร้อมร่วมสื่อสารไปให้ตรงกับกลุ่มต่างๆ
ยกตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์เครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ สามารถนำเสนอข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ที่มีความต้องการและไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน สามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้ถึง 6 เช็คเมนต์
9. Be a vitamin or pain killers
การนำเสนอสิ่งที่แบรนด์ให้อะไรกับลูกค้า มุ่งสื่อสารสิ่งที่ลูกค้าต้องการ พร้อมปรับสิ่งที่เป็น pain point ของกลุ่มลูกค้า ไปสู่การสร้าง gain pain point ให้แก่ลูกค้า
10. What + Why + How
การมีเทคนิคและวิธีการเล่าเรื่อง เพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ว่ามีคุณสมบัติอย่างไร มีความจำเป็นต่อลูกค้าอย่างไรและต้องใช้อย่างไร ร่วมเปลี่ยนสินค้าที่ลูกค้าอาจไม่เคยอยากใช้มาก่อน ให้อยากมาทดลองเลือกซื้อสินค้า
ยกตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ปืนทุบกระจกในรถยนต์ ที่มีไว้ใช้ในกรณีเกิดอุบัติเหตุต่างๆ โดยแบรนด์ได้นำเสนอว่า เป็นปืนทุบกระจก แตกต่างจากค้อนทุบกระจกในรถยนต์ พร้อมนำเสนอคุณสมบัติพิเศษที่ใช้ปุ่มกดเท่านั้น เทคนิควิธีการใช้งานที่สะดวก พร้อมการออกแบบให้สวยงาม ทำให้ลูกค้าเมื่อเห็นแล้วอยากใช้ผลิตภัณฑ์
เป็น 10 วิธีที่เจ้าของแบรนด์ และนักการตลาด สามารถนำไปปรับใช้ในการสื่อสารแบรนด์ให้โดนใจ ร่วมดึงดูดใจลูกค้า ช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้ในทุกสถานการณ์ อีกสิ่งสำคัญคือ แม้การสื่อสารจะสร้างสรรค์เพียงใด แต่แบรนด์ควรมุ่งคำว่า "คุณภาพ" ของสินค้า เพื่อให้แบรนด์สามารถครองใจกลุ่มลูกค้าได้ในระยะยาว!