ทำไม ‘The Pizza Company’ อยากเปิดที่ ‘แม่ฮ่องสอน’ แม้ไม่มีห้างหรือโรงหนัง ?

ธุรกิจอาหารเผชิญกับความท้าทายมาหลายปี แม้จะเป็นสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ทุกวันแต่จำนวนคู่แข่งและต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงความ “เข้าง่าย-ออกง่าย” ของอุตสาหกรรมนี้ ทำให้ร้านอาหารต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งเชนใหญ่ที่มีจำนวนสาขารวมกันทั้งเครือมากถึงหลักพันแห่งทั่วประเทศอย่าง “ไมเนอร์ฟู้ด”

“อนุพนธ์ นิธิยานันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ไมเนอร์ ฟู้ด ประเทศไทย ฉายภาพให้ฟังว่า แม้แต่ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” (The Pizza Company) แบรนด์เรือธงเบอร์ 1 ของไมเนอร์ฟู้ด ก็ยังเจอศึกหนักท่ามกลางตลาดพิซซ่าที่ดุเดือด มีแบรนด์ใหม่เข้ามามากมาย ทั้งฝั่งร้านนั่งกิน (Dine-in) และสนามเดลิเวอรีก็รุนแรงรุมเร้าไม่ต่างกัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็พบว่า “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” ยังทำได้ดี ทั้งในแง่ยอดขาย “Same Store” และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งตัวแปรเรื่องจำนวนลูกค้าคือสัดส่วนที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาว “ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์” ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี บอกว่า ตอนนี้ร้านเดอะ พิซซ่า มีอยู่ 430 แห่งทั่วประเทศ จุดแข็งหลักๆ คือจำนวนสาขาที่ครอบคลุมหลายจังหวัด ยิ่งกระจายสาขามากเท่าไหร่ ก็สร้างความสะดวกสบายให้การเดินเข้ามาสั่งกลับบ้าน นั่งกิน และเดลิเวอรีมากเท่านั้น

ปี 2567 จำนวนลูกค้าโตขึ้น 10% และยอดขายเติบโตราวๆ 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยปัทม์ระบุ “Key Success” ให้ฟังว่า มีทั้งหมด 3 ส่วนหลักๆ ข้อแรก คือการออกเมนู “Bite” สำหรับทานคนเดียวหรือทานแบบเร็วๆ ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 99 บาท ส่วนนี้ผลักดันให้จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นมาก นำมาสู่คีย์ถัดมา คือการซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรีก็โตขึ้นจากเมนู Bite ด้วย รวมถึงการันตีส่งเดลิเวอรี 20 นาทีถึงบ้านก็ทำให้ยอดขายเติบโตเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” ส่งด่วนภายใน 20 นาทีได้สำเร็จมากถึง 97%

ข้อสุดท้าย คือการรีโนเวทร้านให้ดูทันสมัย ส่งผลให้ยอดขายแบบนั่งทานที่ร้านโตขึ้น เมนูอื่นๆ นอกจากพิซซ่า อาทิ พาสต้า สเต๊ก สลัด ฯลฯ ก็มีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หลังจากนี้มีแผนรีโนเวทสาขาอื่นๆ เพิ่มเติม โดยใช้งบลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท

ผู้บริหารเดอะพิซซ่าบอกว่า ปี 2567 เป็นปีที่จำนวนลูกค้าเติบโตมากที่สุดหากนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เป็นต้นมา จำนวน 430 สาขาครอบคลุมทั้งหมด 76 จังหวัดแล้ว เหลืออีก 1 จังหวัดที่ยังไปไม่ถึง คือ “แม่ฮ่องสอน” ซึ่งก็อยู่ในแผนการเปิดสาขาปีนี้ด้วย

หากถามว่า เห็นโอกาสอะไรในแม่ฮ่องสอนที่น่าจะเป็น “เมืองปราบเซียน” สำหรับธุรกิจเชนร้านอาหาร “ปัทม์” บอกว่า เดอะพิซซ่ามีเป้าหมายต้องการไปให้ครบทุกจังหวัด ส่วนเรื่องกำลังซื้อได้มีการสำรวจตลาดก็พบว่า ในพื้นที่มีทั้งร้านสะดวกซื้อ โรงแรม นักท่องเที่ยว มีหลายปัจจัยที่เชื่อว่า น่าจะเป็นโอกาสของเดอะ พิซซ่า ได้

-ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี-

“ผมเข้าใจว่า เดอะ พิซซ่า มีเสน่ห์ที่สัดส่วนเดลิเวอรีที่แข็งแรงมาก ไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเองเข้าไปแค่ห้าง เอาตัวเองไปอยู่ในตึกแถว หมู่บ้าน ไม่ต้องรอรีเทลในการขยายแต่บุกเข้าไปได้เลย อย่างแม่ฮ่องสอนที่อาจจะมีคำถามว่า ทำไมถึงไปเปิด ก่อนหน้านี้ที่อำเภอเบตงเดอะ พิซซ่า ก็เป็นแบรนด์แรกที่บุกป่าฝ่าดงลงไป ห้างก็ไม่มีในนั้นเลย แต่เราได้ตึกแถวกลางเมือง เป็น Visibility ที่โดดเด่นมาก สะท้อนว่า แบรนด์สามารถไปอยู่ได้ทุกจุดทั่วประเทศไทย”

ปีนี้ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” จะเปิดเพิ่มอีก 20 แห่ง เพราะต้องการเพิ่มจุดส่งเดลิเวอรีให้เข้าถึงทุกกลุ่มมากขึ้น เป็นเหตุผลหลักๆ ในการเปิดสาขาใหม่ บวกกับอัตราการเติบโตของสาขาเดิมที่สูงขึ้น หากยังมีจำนวนเท่าเดิมลูกค้าก็อาจจะรอนานกว่าปกติ ขณะเดียวกันถ้าแบรนด์ไหนในเครือโตต่ำกว่าตลาด การเปิดสาขาใหม่ก็จะมีการปรับแผนชะลอตัวไปตามการเติบโตนั่นเอง

ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคของเดอะ พิซซ่า ยังแบ่งออกเป็นเดลิเวอรี 50% นั่งทานที่ร้าน 30% และสั่งกลับบ้าน 20% ความท้าทายของแบรนด์ตอนนี้มีทั้งเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น รวมถึงคู่แข่งหน้าใหม่ที่ทยอยเดินเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นทุกปี 

เป้าหมายปีนี้ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” ตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 10% เพิ่มความถี่ในการใช้บริการของลูกค้าจาก 2.5 ครั้งต่อเดือน เป็น 3.5 ครั้งต่อเดือน และต้องการเพิ่มความถี่ให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกกับทางร้าน ทำอย่างไรให้สมาชิกปัจจุบันกลับเข้ามาใช้บริการด้วยความถี่ที่เพิ่มขึ้น ส่วนการเปิดสาขาใหม่ในปีนี้จะแบ่งออกเป็นต่างจังหวัด 60% และกรุงเทพฯ 40% เป็นโลเกชันไหนอย่างไรบ้างยังไม่มีการเปิดเผย แต่จะเน้นไปที่การเปิดร้านสแตนอโลนและอยู่กับไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มีทราฟิกสูง