วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (15 ส.ค. 65)
ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลังการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาดำเนินการผลิต
- ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนท์ปรับลดลงกว่า 2% หลังปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ ที่หยุดชะงักไปก่อนหน้านี้จากปัญหาท่อขนส่งน้ำมันเสียหาย กลับมาดำเนินการผลิตได้ตามปกติ เนื่องจากมีการซ่อมท่อขนส่งดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วภายในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ตลาดกังวลหากท่อขนส่งดังกล่าวหยุดชะงักไป จะส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบถึงกว่า 410,000 บาร์เรลต่อวัน
-/+ ความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลง จากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยในรายงานประจำเดือนล่าสุดของกลุ่มโอเปค (OPEC) มีการปรับลดความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้ลง 0.26 ล้านบาร์เรลต่อวันจากรายงานก่อนหน้า โดยความต้องการใช้น้ำมันทั้งปีคาดจะเติบที่ราว 3.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสวนทางกับสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่ปรับเพิ่มความต้องการใช้น้ำมันขึ้น หลังคาดราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลให้มีการหันมาใช้น้ำมันทดแทนก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในไตรมาส 4 ของปีนี้
+/- ปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติปรับลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน หลังราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับลดลงและหลายบริษัทฯ ปรับเพิ่มงบลงทุนในระดับจำกัดในปีนี้ โดย Baker Hughes รายงานปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติปรับลดลง 1 แท่นมาอยู่ที่ราว 763 แท่น สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 12 ส.ค. อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบจะพบว่าปรับเพิ่มขึ้นราว 3 แท่น มาอยู่ที่ 601 แท่น
ราคาน้ำมันเบนซิน
ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ในภูมิภาคที่ชะลอตัวลงจากเวียดนามและอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสิงคโปร์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ราว 17.7 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันดีเซล
ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสิงคโปร์ที่ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงกดดันจากอุปทานในภูมิภาคที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากอินเดียและเกาหลีใต้