ดาวโจนส์ปิดบวก 197 จุดท่ามกลางการซื้อ-ขายผันผวนก่อนประชุมเฟด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์(19ก.ย.)ปรับตัวเพิ่มขึ้น 197 จุด ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 197.26 จุด หรือ 0.64% ปิดที่ 31,019.68 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 0.69% ปิดที่ 3,899.89 จุด และดัชนีแนสแด็ก บวก 0.76% ปิดที่ 11,535.02 จุด
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของบริษัท Sea ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีของสิงคโปร์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ร่วงลงกว่า 1% ในวันนี้ หลังบริษัทประกาศปลดพนักงานในบริษัทช้อปปี้ (Shopee) ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซในเครือ โดยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปรับลดค่าใช้จ่าย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงกับบริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า Sea จะปรับลดพนักงานของบริษัทช้อปปี้ในอินโดนีเซียจำนวน 3% โดยจะกระทบพนักงานในฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายการตลาด
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์สเตรทส์ไทม์รายงานว่า บริษัท Shopee Singapore ได้ประกาศปลดพนักงานในวันนี้เช่นกัน โดยเป็นพนักงานในฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายการตลาด ฝ่ายปฏิบัติการประจำภูมิภาค รวมทั้งฝ่ายวิศวกรรมและผลิตภัณฑ์
การประกาศปลดพนักงานในสิงคโปร์และอินโดนีเซียในวันนี้มีขึ้น หลังจากช้อปปี้ได้ประกาศถอนตัวออกจากตลาดยุโรปและลาตินอเมริกาก่อนหน้านี้ รวมทั้งจากอินเดีย เนื่องจากถูกรัฐบาลอินเดียประกาศห้ามการดำเนินธุรกิจในประเทศ ท่ามกลางความขัดแย้งกับบริษัทจีน
การซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในวันนี้ถูกกดดันจากการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75-1.00% ในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3.9% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ในวันนี้ และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี
การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวสูงกว่าระยะยาว ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย ท่ามกลางการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 82% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 18% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%
หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 3 จุด สู่ระดับ 46 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 47
นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองทั่วไปที่เป็นลบ
ก่อนหน้านี้ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ในเดือนมิ.ย.2557 ก่อนที่จะปรับตัวต่ำกว่าระดับดังกล่าวอีกครั้งในช่วงต้นปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของโควิด-19
การร่วงลงของดัชนีความเชื่อมั่นมีสาเหตุจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมทั้งการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และต้นทุนในการก่อสร้าง ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายในปัจจุบันต่างปรับตัวลง