คลังถกแบงก์ชาติรับมือเฟดขึ้นดอกเบี้ย
อาคม ถกแบงก์ชาติ สรุปแนวทางดูแล ค่าเงินบาท-ดอกเบี้ย หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย ย้ำนโยบายไทยยึด 3 ปัจจัย 'เงินเฟ้อ-ขยายตัวเศรษฐกิจ-เงินทุนเคลื่อนย้าย'
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ระบุ วานนี้ (22 ก.ย.) ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อติดตามสถานการณ์ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.75%
ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ เหตุผลเพื่อลดความร้อนแรงในการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฟดได้ตั้งเป้าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นไปอีก 4-4.5% ขณะนี้ก็ได้ปรับขึ้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้น ในหลายประเทศรวมถึงไทยยังต้องติดตามการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และจะมีผลอย่างไรกับประเทศไทยด้วย
ในการหารือกับ ธปท.ได้ให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลักในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยหรือไม่ ได้แก่ 1.อัตราเงินเฟ้อ โดยจะต้องดูว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลต่อเงินเฟ้อ และมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน 2.การขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่ง ธปท.จะต้องมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้แบบปกติ 3.เงินทุนเคลื่อนย้าย โดยช่วงที่ผ่านมามีเงินทุนไหลออกบ้าง แต่ยังไม่ถือว่าผิดปกติ ธปท.ก็ติดตามอย่างใกล้ชิด
ซึ่งปัจจัย 3 ข้อ คือ เงินเฟ้อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายของเงินทุน จะให้น้ำหนักในเรื่องใดมากกว่ากันนั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ ธปท.ที่จะเป็นผู้พิจารณาเอง ซึ่งทั้งคลังและ ธปท.ก็มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์มีความผันผวนมาก ธปท.ก็จะเข้าไปดูแล ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเทศนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุผลของแต่ละประเทศ บางประเทศเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว บางประเทศเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็เป็นหนึ่งในต้นทุน
สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 นี้ หลายสำนักยังประเมินว่าจะขยายตัวได้ 3-3.5% ซึ่งมองว่าน่าจะสามารถทำได้ จากปัจจัยสนับสนุนจกเรื่องส่งออกที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงค์จากเงินบาทอ่อนค่า โดยกลุ่มที่ได้เปรียบ คือ การส่งออกอาหาร ที่ให้วัตถุดิบหลักภายในไทย ขณะที่ท่องเที่ยวล่าสุดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมาแล้ว 5 ล้านคน และคาดปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะถึง 8 ล้านคน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ส่วนกรณี ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงรวดเร็วจะมีผลต่อราคาพลังงาน และค่าครองชีพในประเทศเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่นั้น มองขณะนี้ราคาน้ำมันได้ลงมาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 90-95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลบริหารจัดการได้
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติตดามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.2565 เป็นช่วงหน้าหนาวแล้ว อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันผันผวนได้ ซึ่งอาจมีผลต่อเรื่องราคาสินค้า และค่าครองชีพ เนื่องจากมีต้นทุนทางด้านโลจิสติกสูงขึ้นทั้งนี้ ขณะนี้ รัฐบาลก็ได้มีมาตรการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพแล้ว ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็ต้องมีการปรับตัว เพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นในการผลิต