เอกชนชี้ ‘EEC’ หนุนท่องเที่ยว แนะรีแบรนด์ 'พัทยา' ดึงกลุ่มรายได้สูง
พื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทยนอกจากเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งที่เป็นที่รู้จักของทั่วโลก ที่ทำให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ขณะที่นโยบายอีอีซียังสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยว
ทั้งนี้แนวทางในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จึงมีการประกาศแผนปฏิบัติการ การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเป็นส่วนหนึ่งในแผนการพัฒนาอีอีซีเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแผนปฏิบัติในการดำเนินการต่อเนื่องเพื่อช่วยยกระดับการท่องเที่ยวในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่จะรองรับนักท่องเที่ยว กลุ่มรายได้สูง และกลุ่มเชิงสุขภาพ
โดยในแผนของอีอีซีมีพื้นที่เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ ระยอง สัตหีบ และพัทยา ที่เป็นพื้นที่วงแหวนการท่องเที่ยวหลัก ให้สามารถขยายสู่ จ.ฉะเชิงเทราที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ที่จะสามารถขยายสู่แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ประชาชนในพื้นที่ให้สูงขึ้น
ในมุมมองของผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ พัทยา มองว่านโยบายอีอีซีช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่ขณะเดียวกันความพร้อมของธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงโรงแรมที่พักและสถานที่สำหรับการจัดงานสัมมนาเป็นส่วนที่มีการส่งเสริมซึ่งกันและกัน และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
วิทนาถ วรรธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ปกล่าวว่านโยบายอีอีซีเป็นนโยบายที่ทำให้ภาคตะวันออกมีความคึกคักมากขึ้นมีนักลงทุน และนักธุรกิจชาวต่างชาติจากหลายประเทศ เดินทางเข้ามาในพื้นที่มากขึ้นตั้งแต่การเข้ามาดูความพร้อมของสถานที่ที่จะรองรับการลงทุน หรือกลุ่มที่ได้เข้ามาลงทุนแล้วก็ได้เดินทางเข้ามาเพื่อจัดประชุมและสัมมนา ซึ่งบ่อยครั้งได้มาจัดในพื้นที่ของพัทยา โดยเร็วๆนี้ก็จะมีการจองเข้ามาใช้สถานที่ของโรงแรมในการจัดสัมมนา
นอกจากนโยบายอีอีซี รัฐบาลก็ยังมีนโยบายที่สนับสนุนให้กลุ่มคนต่างชาติเข้ามาพำนักอาศัยและทำงานกับประเทศไทยในระยะยาว เช่นนโยบายการผ่อนผันเรื่องของวีซ่าที่เป็นวีซ่าเพื่อการอยู่อาศัยระยะยาว (LTR) ที่สามารถขอวีซ่าได้ถึง 10 ปี ทำให้นักลงทุน และนักธุรกิจสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้เช่นเดียวกันกับคนไทย
อย่างไรก็ตามการที่ประเทศไทยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรมที่แข็งแรง มีการปรับปรุงและพัฒนาสถานที่ให้มีความพร้อมรองรับการประชุม และสัมมนาที่เป็นการจัดงานขนาดใหญ่ ตลอดจนการมีความพร้อมของเรื่องบุคลากรก็ถือว่าเป็นการสนับสนุนนโยบายของอีอีซีเช่นกัน
“ในช่วงโควิดรอยัล คลิฟ มีการปรับปรุง รีโนเวท โรงแรม เพื่อเตรียมความพร้อมการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ด้วยวงเงินกว่า 200 ล้านบาท และมีการปรับกลยุทธ์การบริหารงานเพื่อให้โรงแรมสามารถรักษาพนักงานของโรงแรมไว้ได้ทั้ง 600 คน ซึ่งในปัจจุบันเมื่อการท่องเที่ยว และการประชุมสัมมนาต่างๆฟื้นตัวขึ้นมาจากช่วงสถานการณ์โควิด -19 ก็มีความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจที่เข้ามาประชุมสัมมนาในพื้นที่อีอีซีได้อย่างเต็มที่”
ปัจจุบันอัตราการเข้าพักที่โรงแรมฯถือว่าฟื้นตัวขึ้นมากจากช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีจำนวนผู้เข้าพักเฉลี่ย 50 – 60% ในช่วงวันหยุด ขณะที่ในช่วงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ประมาณ 70 – 80% ดังนั้นในช่วงที่การท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว แต่ภาพรวมของพัทยาที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาพักเคยเป็นชาวต่างชาติจำนวนมาก
โดยเฉพาะใน 3 ประเทศที่ยังมีปัญหาภายใน ได้แก่ จีน ที่ยังใช้นโยบายซีโร่โควิด-19 ยังไม่ได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวออกนอกประเทศ คาดว่าอย่างน้อยต้องหลังเดือน ต.ค.ไปแล้วซึ่งในเรื่องนี้หากจีนมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางออกนอกประเทศได้กลุ่มรอยัลคริฟฯก็พร้อมจะไปโรดโชว์ ทำโปรโมชั่นเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวที่พัทยา และมาพักที่โรงแรม
ส่วนอีก 2 ประเทศที่นักท่องเที่ยวยังไม่ได้กลับเข้ามาในไทยก็คือนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย และยูเครน ที่ปกติจะเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบการมาท่องเที่ยวที่พัทยาเพื่อมาพักผ่อนหนีหนาวในช่วงที่อากาศในยุโรปมีอุณหภูมิต่ำมากโดยพัทยาเป็นพื้นที่หนึ่งที่เป็นที่นิยม
วิทนาถกล่าต่อด้วยว่ามาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ภาครัฐควรสนับสนุนให้ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องโดยเฉพาะนโยบายและมาตรการสำหรับสนับสนุนการท่องเที่ยวของคนในประเทศ ได้แก่นโยบายเราเที่ยวด้วยกันที่ควรจะมีการต่ออายุออกไปอีกจนถึงปี 2566ขณะเดียวกันก็ควรที่จะสนับสนุนทางการเงินในการจัดประชุมและสัมมนาในประเทศ โดยมีลักษณะทั้งการสนับสนุนทางการเงิน และการให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีซึ่งจะช่วยให้ภาคส่วนท่องเที่ยวฟื้นตัว และเชื่อมโยงไปยังอีกหลายอุตสาหกรรม ที่มีการจ้างงานต่อเนื่องได้รับประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐด้วย
“ที่จริงแล้วโรงแรมในประเทศไทยได้รับความนิยมมาก โดยจากการสำรวจของ Booking.com ระบุว่าโรงแรมในประเทศไทยได้รับการค้นหาในอันดับต้นๆให้เป็น Destination ที่นักท่องเที่ยวค้นหา และได้รับการโหวตเป็นอันดับต้นๆของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีราคาเหมาะสม และคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป”
นอกจากนี้ภาคเอกชนในพัทยายังต้องการให้ภาครัฐช่วยทำเรื่องของมาร์เก็ตติ้งแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภาพลักษ์ที่ดีของพัทยา เพราะในปัจจุบันพัทยาได้เปลี่ยนไปจากในอดีตมาก โดยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับเรื่องของกีฬา และสุขภาพ (sport and wellness tourism) ที่ได้วางตำแหน่งทางการตลาดของพัทยาว่ามีศักยภาพในการเป็นสถานที่ซึ่งเหมะกับการที่จะพาครอบครัวมาใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่มีความสุขร่วมกัน หรือเป็น Family life destination ที่ควรจะมีการส่งเสริมภาพลักษณ์ส่วนนี้ให้เป็นจุดขายของพัทยามากขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงเข้าสู่ประเทศไทยตามนโยบายที่วางไว้